8 กรกฎาคม 2552

ใบยอ เป็นยาแก้ไข้

ใครที่เป็นไข้ลองกินใบยอดูสิ เพราะใบยออ่อนมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ บำรุงธาตุ ลดอุณหภูมิของร่างกาย แก้ท้องร่วง เหงือกบวม ปวดข้อ รู้ไหมใบยอ 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 841 มิลลิกรัม
สรรพคุณ

ใบยอมีสรรพคุณ บำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกปวดบวมผล รสเผ็ดร้อน

ผลยอ มีสรรพคุณ ขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับโลหิต ระดูของสตรี ฟอกเลือด แก้คลื่นเหียนอาเจียน

ผลสุกของยอบ้านมีกลิ่นฉุนวิธีใช้ยากำจัดเหา โดยนำใบยอสดมาหั่นโขลกให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ นำมาสระผม 2-3 ครั้ง เหาจะหมดไป

ยากำจัดพยาธิ นำใบยอมาหั่นตากแดด บดเป็นผงแล้วละลายน้ำร้อนครั้งละ 2-3 ช้อนชา ดื่มเป็นประจำ ช่วยทำลายพยาธิได้ยาระบาย

นำลูกยออ่อนมาฝานเป็นแว่น ๆ คั่วด้วยไฟอ่อน ๆ จนเหลือง กรอบ นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนน้ำ เป็นยาแก้คลื่นไส้อาเจียน และระบายได้เป็นอย่างดี

ยาแก้ท้องอืด นำลูกยอมาโขลกกับเกลือแล้วผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าหัวแม่มือ กินมือละ 1-2 ลูกช่วยขับลมและลดอาการท้องอืดได้

หลายคนอาจจะยังไม่เคยกินใบยอและลูกยอ เมื่อทราบถึงประโยชน์ทั้งด้านคุณค่าทางอาหารและการใช้เป็นยาเช่นนี้ ก็น่าจะลองหามากิน หรือนำต้นยอมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านเพราะปลูกง่าย เพียง 1-2 ปีจะได้ต้นยอซึ่งให้ทั้งใบและผล สำหรับบริโภคและเป็นไม้ประดับให้ร่มเงาแก่บ้านอีกด้วย

ประโยชน์ทางอาหาร ส่วนที่เป็นผัก/ฤดูกาล ใบอ่อนและห่ามของยอใช้เป็นผักได้

ใบอ่อนออกทุกฤดูกาล

ผลยอออกในช่วงฤดูหนาว

การปรุงอาหารคนไทยทุกภาครับประทานใบยอเป็นผัก ใบอ่อนลวกหรือต้มให้สุก รับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก

นอกจากนี้ใบอ่อนยังนิยมปรุงเป็นแกง เผ็ด แกงอ่อมร่วมกับหมู ปลาไก่ ใช้เป็นผักรองก้นกระทง ห่อหมกปลา ห่อหมกหมู ห่อหมกไก่ได้

สำหรับผลห่ามหรือผลแก่จัดสีเขียวชาวอีสานนำมาปรุงเป็นส้มตำ โดยใส่ผลยอแทนมะละกอ

ประโยชน์ต่อสุขภาพใบอ่อน รสขม รับประทานเป็นยาเพื่อลดความร้อนในร่างกายได้ส่วนผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ใบยอ 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 73 กิโลแคลอรี่มีเส้นใย 4 กรัม แคลเซียม 469 มิลลิกรัม เหล็ก 1.4 มิลลิกรัมวิตามินเอ 43333 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.30 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.19 มิลลิกรัม ไนอาซิน 7.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 3 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก www.prc.ac.th/lannagardrn/pum10.html

ถั่วลิสง บำรุงเลือด

เราใช้เปลือกบาง ๆ ที่หุ้มเมล็ดถั่วในการบำรุงเลือด รักษาโรคโลหิตจาง เพราะมันจะช่วยเพิ่มเกร็ดเลือดและเสริมคุณภาพของเกร็ดเลือด แก้ไขความบกพร่องในการแข็งตัวของเลือด ส่วนเมล็ดช่วยให้ปอดชุ่มชื้นและละลายเสมหะ

ถั่วลิสง ลดเสี่ยงโรคหัวใจคนไข้เบาหวาน 44%
วิทยาลัย แพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างคนไข้เบาหวานผู้หญิงมากกว่า 6,000 คนซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงโรคหัวใจ สโตรค (stroke = หลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต)

ผลการศึกษาพบว่า การกินถั่วลิสงเป็นอาหารว่าง (snack) หรือเนย (butter) 5 ครั้ง/สัปดาห์ขึ้นไปช่วยลดความเสี่ยง (ความน่าจะเป็น) โรคหัวใจกำเริบ (heart attack) ลงได้มากจนถึง 44%

กลไกที่เป็นไปได้คือ ถั่วลิสง (peanuts) ช่วยลดโคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดชนิดเลว (LDL), ลดการอักเสบ, และทำให้สุขภาพหลอดเลือดหัวใจดีขึ้น

ขนาดที่ช่วยปกป้องหัวใจ คือ 5 ส่วนบริโภค (servings) ต่อสัปดาห์ = ถั่วลิสงต้ม 1 ฝ่ามือ ไม่รวมนิ้วมือผู้ใหญ่ผู้หญิง (เรียงเม็ดกัน ไม่พูนหรือซ้อนกัน) = เนยถั่วลิสง 1 ช้อนโต๊ะ
สหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งมีประชากรใกล้เคียงกับไทยมีคนไข้เบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานที่พบในผู้ใหญ่ และเด็กอ้วน 2.25 ล้านคน

โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายใหญ่ของคนไข้เบาหวาน การกินถั่วลิสงให้ดีควรลดปริมาณอาหารอื่นลงไปตามส่วน โดยเฉพาะถ้าลดอาหารทอด + ออกแรง-ออกกำลังเพิ่มด้วย จะได้ผลดีมาก

ถั่งลิสงที่ดีกับสุขภาพควรเป็นถั่วต้ม ไม่เติมเกลือหรือน้ำตาล และไม่ผ่านการทอด เนื่องจากการทอดจะทำให้น้ำมันชนิดดีในถั่วซึมออก น้ำมันที่ใช้ทอดซึมเข้า

อ้างอิง www.girliza.com

ลิ้นจี่

ลิ้นจี่ รู้ไหม ลิ้นจี่ที่แสนอร่อยที่เรากินน่ะ ช่วยบำบัดอาการท้องร่วงและโลหิตจาง บำรุงตับ บำรุงเลือด รักษาอาการปวดไส้เลื่อน ปวดกระเพาะได้ด้วยนะ

คุณค่าอาหารและสรรพคุณ
เนื้อของลิ้นจี่มีวิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ อย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงสุขภาพแก้อาการท้องเดิน

ลิ้นจี่"

มีต้นกําเนิดที่ประเทศจีน ลักษณะค่อนข้างกลม เปลือกสีแดงเข้ม ผิวขรุขระไม่เรียบ เนื้อสีขาวฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว นิยมรับประทานผลสด ทําผลไม้กระป๋อง ดอง มีน้ำตาลสูง หากเราผ่านไปทางภาคตะวันออก จะเห็นว่าทางภาคนี้จะปลูกผลไม้แทบทุกชนิด เพราะอากาศดี ดินอุดมสมบูรณ์

"ลิ้นจี่" เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามิน และน้ำตาล มีน้ำมันหอมระเหย และมีกรดอินทรีย์บางชนิด วิตามินบี 1 ในลิ้นจี่ ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด แคลเซียมเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงอีกทั้งยังมีไนอะซีนช่วยเปลี่ยนน้ำตาลและไขมันให้เป็นพลังงาน ช่วยในระบบย่อยอาหาร ส่วนที่เป็นเมล็ดยังสามารถทําเป็นยาระบายความเจ็บปวดในกระเพาะอาหารได้ด้วยสํา หรับรับผู้มีอาการของท้องร่วงเรื้อรัง ให้นําเนื้อลิ้นจี่มาต้มรวมกับเนื้อพุทรา แล้วนํามากินกับน้ำ จะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงเรื้อรังได้ได้เป็นอย่างดี

อ้างอิง www.variety.siamha.com

มะพร้าว


มะพร้าว มีส่วนประกอบของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซีและน้ำตาล มีสรรพคุณช่วยขับลมและถ่ายพยาธิ ระวังอย่ากินมากเกินไปเพราะจะทำให้หงุดหงิดโมโหได้นะ

" น้ำมะพร้าว" ถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูงต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบนน้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียมเหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส

น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอกเพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดีแถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูงทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

น้ำมะพร้าว"สปอร์ตดริ๊งค์" จากธรรมชาติ
เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายนอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่ายนอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปหมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็นใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลางไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกันสามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้..

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaiherbclinic.com

เกาลัด

เกาลัด มีสรรพคุณบำรุงไต แก้ปวดเมื่อยบริเวณส่วนเอว ขาอ่อนปวกเปียกไม่มีแรง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารและลำไส้ แต่ผู้ที่มีอาการร้อนใน หรือเป็นโรคไขข้ออักเสบห้ามรับประทานเด็ดขาด เพราะจะทำให้หน้าตาบวม

"เกาลัด" หรือเชสนัท (Chestnut) นั้นเป็นพืชประเภทถั่วที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก ให้ไขมันต่ำ และอุดมด้วยวิตามินบี มีแร่ธาตุโพแทสเซียม และกรดโฟลิก อีกทั้งสรรพคุณของลูกเกาลัดนั้นก็คือสามารถช่วยบำรุงอวัยวะในร่างกาย ได้แก่ บำรุงไต เสริมสร้างกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร ช่วยฟอกเลือด ช่วยบรรเทาอาการช้ำใน และช่วยเพิ่มพลัง ทำให้กล้ามเนื้อมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น รวมทั้งช่วยลดการปวดปัสสาวะบ่อยๆ จึงถือว่าเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ

ส่วนในตำราจีนนั้น มีการพูดถึงคุณค่าของเกาลัดมาเป็นพันๆปีแล้วว่า เป็นอาหารธาตุอุ่น ช่วยบำรุงไต บำรุงเลือด และช่วยลดอาการปวดข้อได้ด้วย จึงถือเป็นของกินเล่นที่มีคุณค่ามากอีกอย่างหนึ่ง แม้ในเมืองไทยจะมีราคาสูงไปสักหน่อยก็ตาม

เกาลัดคั่วในเม็ดทราย

เกาลัดคั่วที่เห็นกันมาก ๆ มักจะมีเม็ดสีดำเล็ก ๆ คั่วรวมอยู่ด้วย บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเมล็ดกาแฟจริง ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

เม็ดสีดำเล็ก ๆ นั้น คือ เม็ดทรายขนาดประมาณ 3-5 มิลลิเมตร เป็นทรายที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือที่เห็นตามตู้ปลาสีออกน้ำตาล พ่อค้าหรือแม่ค้าจะนำเอาทรายแห้งใส่ลงไปในกระบะใบใหญ่ พอทรายร้อนระอุได้ที่จนเป็นสีดำ ก็จะนำเอาลูกเกาลัดใส่ลงไป บางร้านเติมน้ำตาลทรายคั่วรวมกันให้ได้รสหวาน บางร้านเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่เมล็ดกาแฟคั่วรวมไปเหตุผลที่ต้องใช้เม็ดทรายเพราะเม็ดทรายช่วยเก็บความร้อนไว้ได้นาน ซึ่งดีสำหรับการทำให้เกาลัดสุกถึงเนื้อผลด้านใน และหากสังเกตกันดี ๆ เนื้อผลของเกาลัดนั้นจะไม่ติดกับเปลือก

ดังนั้นการใช้ทรายที่ร้อนระอุตลอดเวลาจะช่วยให้เนื้อเกาลัด ค่อย ๆ สุก แต่ต้องหมั่นคนเพื่อไม่ให้เกาลัดไหม้ ซึ่งจะคั่วกันนาน 30-40 นาที เม็ดทรายนั้นใช้ได้นานกว่า 1 เดือน เรียกว่าคั่วเกาลัดได้หลายกระทะ จนทรายที่เป็นเม็ดเริ่มป่นเป็นผง แล้วจึงจะเปลี่ยนไปใช้เม็ดทรายชุดใหม่ต่อไปนี้ก็เข้าใจใหม่ว่า เกาลัดนั้นคั่วในทราย ไม่ใช่เมล็ดกาแฟอย่างที่เข้าใจกัน.

อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/2764.html

ข้าวเหนียวดำและขาว

เปิบข้าวเหนียวดำแล้วแก่ช้า

คนภาคเหนือและภาคอีสาน เรียก ข้าวเหนียวดำ ว่า ข้าวก่ำ นอกจากจะใช้ประโยชน์โดยบริโภคเป็นอาหาร (ข้าวนึ่ง) และขนม (ข้าวหลาม ขนมเทียน ข้าวแต๋น) แล้ว
ยังใช้เป็นยารักษาโรคตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งอาการตกเลือดหลังคลอด โรคท้องร่วง และโรคผิวหนัง
นัก วิจัยเชียงใหม่ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยศึกษาลึกระดับโมเลกุลเมล็ดข้าวเหนียวดำ ดึงคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกันและการเจริญเติบโตของร่างกาย สำหรับผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ ยาและเวชภัณฑ์

รศ. พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ นักวิจัยหน่วยวิจัยข้าวก่ำ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า เมล็ดข้าวก่ำ หรือข้าวเหนียวดำ มีสารสำคัญชื่อ แกรมมา-โอไรซานอล และแอนโธไซยานิน มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับวิตามินอี แต่คุณสมบัติดีกว่า เนื่องจากโครงสร้างของสารสำคัญมีขาจับมากกว่าในวิตามิน อี ทำให้การยึดเกาะพื้นผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สารสกัด ในข้าวก่ำยังมีคุณสมบัติ ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง สร้าง วิลไล ในผนังลำไส้เล็กซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาเพื่อดูดซึมสารอาหาร ทำให้ร่างกายสามารถดูดซับสารอาหารได้มากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตและแข็งแรงยิ่งขึ้น ปัจจุบันหน่วยวิจัยฯ เตรียมศึกษาคุณสมบัติของสารสกัดในระดับโมเลกุล ซึ่งส่งผลต่อร่างกายในเชิงลึก

อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้จากการวิจัยในระดับโภชนาการที่ผ่านมา สามารถต่อยอดผลิตเป็นอาหารเสริม ยาและเวชภัณฑ์ โดยที่ผ่านมาได้รับการติดต่อจากคณะแพทยศาสตร์ ที่สนใจนำผลงานวิจัยไปใช้ทางการแพทย์ ขณะที่คณะเภสัชศาสตร์ก็เตรียมนำสารสกัดจากเมล็ดข้าวก่ำ ไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางประเภทต้านริ้วรอย-ชะลอแก่



ข้าวเหนียว มีรสหวาน ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ม้าม แก้อาการท้องร่วงจากบิด เบื่ออาหาร คลื่นเหียนอาเจียน ลดปัสสาวะ ลดเหงื่อ เห็นไหมข้าวเหนียวก็มีประโยชน์ไม่แพ้ใครนะ

นอกจากข้าวเหนียวจะมีประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เช่น

บำรุงร่างกาย
ช่วยขับลมในร่างกาย
สร้างสารอาหาร
เสริมสมรรถภาพกระเพาะอาหาร
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น

โดยการนำ ข้าวสาร (ข้าวเหนียว) แช่ให้นุ่มแล้วโดยปั่นในเครื่องปั่น ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 นำมาพอกกับผิวหน้า ผิวกาย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นช่วยลดริ้วรอย จุดด่างดำ ให้ค่อยๆ จางหายไป ทำ สัปดาห์ละ 2 ครั้งไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็มีประโยชน์กับร่างกายเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักถึงคุณค่าและรู้จักที่จะนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อไป

ดื่มชาวันละ 2 แก้ว ลดความเสี่ยงมะเร็งรังไข่

หลังจากสัมภาษณ์ผู้หญิงกว่า 6 หมื่นคน

ทีมนักวิจัยจากสวีเดนพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มชาอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ลงได้ นักวิจัยของสถาบันคาโรลินสกา ได้สัมภาษณ์ ผู้หญิง 61,057 คน อายุระหว่าง 40-76 ปี เกี่ยวกับนิสัยการกินและดื่ม ในช่วงปี 2530-2533 หลังจากนั้นติดตามสัมภาษณ์ซ้ำอีกครั้งจนถึงเดือนธันวาคม 2547 พบว่า มี 301 คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ จากการศึกษานี้เห็นว่าผู้หญิงที่ดื่มชาวันละ 2 แก้วหรือมากกว่านั้นเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มชา กลุ่มนี้จะลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ 46 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มที่ดื่มชาวันละแก้ว ลดปัจจัยเสี่ยงลงได้ 24 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ดื่มนั้นปัจจัยเสี่ยงลดลง 18 เปอร์เซ็นต์

ซูซานนา ลาร์สสัน หัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวว่า ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มกาแฟกับปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่

แม้ก่อนหน้านี้จะมีการศึกษาหลายชิ้นที่แสดงว่าชามีส่วนช่วยป้องกันมะเร็ง ได้หลายชนิด และมีส่วนช่วยกระตุ้นความจำ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตรวจสอบ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มชากับความเสี่ยง ในการเป็นมะเร็งรังไข่โดยตรง.

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2548

อาหารบำรุงสมอง

พ่อ แม่ทุกคนอยากให้ลูกได้เติบโตอย่างสมบูรณ์

ร่วมกับการมีสมองที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จนบ่อยครั้งที่ยอมจ่ายเงินครั้งละมากๆ เพื่ออาหารเสริมที่มักจะอวดสรรพคุณว่าช่วยบำรุงสมอง หรือบางครั้งพาลูกเข้าร่วมกิจกรรมที่โฆษณาว่าจะช่วยพัฒนาสมอง บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนช่วยบำรุงสมองเลยสักนิด ก็มักจับกระแสนี้ โดยโหมโฆษณาที่เน้นถึงการพัฒนาของสมองและก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อตาม แรงโฆษณาเหล่านี้ จึงรู้สึกเสียดายเงินแทนผู้ปกครองที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้

จะขอเริ่มจากไขมันจากปลาทะเลโดยเฉพาะกรดไขมัน DHA เพราะมีการศึกษาออกมามากมายว่า มีส่วนทำให้ทารกในวัย 1 ขวบปีแรกมีพัฒนาการเร็วขึ้น เมื่อได้รับ DHA อย่างเพียงพอ จากการศึกษาปริมาณ DHA ในนมแม่ของหญิงไทย ทั่วประเทศที่ผมและคณะทำการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า ในนมแม่ของหญิงไทยทุกภาคมีปริมาณ DHA ที่สูงและมีมากกว่าน้ำนมแม่ของคนแถบยุโรปและอเมริกาเสียอีก โดยหญิงไทยเหล่านี้ไม่ได้กินอาหารทะเลมากเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องเป็นห่วงมากเกินไปว่าต้องกินปลาทะเลหรือไขมันจากปลาทะเลเสริมในช่วงให้นมแม่ อาจเป็นเพราะหญิงไทยสามารถสร้างไขมัน DHA จากน้ำมันพืชที่กินเข้าไปก็ได้

สำหรับนมผงสำหรับทารก ที่ระยะหลังนี้จะเริ่มแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ชนิดดั้งเดิม และกลุ่มหลังคือ ชนิดที่มีการเติม DHA โดยกลุ่ม หลังนี้มักจะแพงกว่ากลุ่มแรกกระป๋องละ 30-40 บาท (ในขนาดกระป๋องละ 400 กรัม) ผู้ปกครองที่มีฐานะปานกลางขึ้นไปก็มักจะไม่เสียดายเงินที่ต้องจ่ายมากขึ้น จึงมักซื้อชนิดที่แพงกว่าเพราะคิดว่าสมองของลูกจะมีการพัฒนาที่ดีกว่า แต่จากการศึกษาจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องมี DHA ในนมผง สำหรับทารกในกลุ่มที่กินนมที่มี DHA อาจจะมีการพัฒนาเร็วกว่าอีกกลุ่มเล็กน้อย แต่กลุ่มที่ไม่มีได้กิน DHA ก็จะมีพัฒนาการที่ไล่ทันเมื่ออายุ 1-2 ขวบ ทั้งนี้เป็นเพราะทารกก็สามารถสร้าง DHA ขึ้นมาได้เองภายในร่างกาย จากข้อมูลขณะนี้จึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะบังคับให้ทุกบริษัทต้องเติม DHA ลงไปในนมผงสำหรับทารก

การที่ลูกได้รับนมแม่หรือได้รับนมผงร่วมกับการให้อาหารเสริมที่มีความหลากหลาย ตามเวลา และมีความเพียงพอใน 1 ขวบปี ก็จะทำให้สมองของลูกได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และเมื่อร่วมกับการอยู่ใกล้ชิด เล่นกับลูกก็จะช่วยพัฒนาเครือข่ายเส้นใยประสาทภายในสมองของลูกได้อย่างเต็ม ที่ การเล่นกับลูกเมื่อลูกตื่นตามแต่ละอายุของลูกนั้น ขอเรียกพ่อและแม่นั้นว่าเป็น “Biotoys” พูดง่ายๆ ก็คือ พ่อหรือแม่คือ “ของเล่นที่มีชีวิตที่ดีที่สุดของลูก” มีคนจำนวนมากซื้อของเล่นต่างๆ มาให้ลูก โดยของเล่นแต่ละชิ้นมักจะระบุว่าเหมาะกับลูกอายุเท่าไหร่ แต่จากประสบการณ์ของผมแล้ว ผมอยากให้ Biotoys นี้เป็นของเล่นหลักของลูกมากกว่า 80% ของเวลาที่ลูกตื่นขึ้นมา

ในวัยอายุ 2-3 ปี เป็นช่วงที่สมองของลูกมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ มีเส้นใยประสาทเชื่อมต่อกันมากมาย วัยนี้เป็นวัยที่เหมาะที่จะส่งเสริมกิจกรรมทุกๆ ด้าน กิจกรรมทุกๆ ด้านนี้อาจหมายถึง กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือการเต้นก็ได้ แต่เราก็ไม่สามารถฝืนพื้นฐานของสมองของเขาได้ พื้นฐานสมองของลูกแต่ละคนนี้มีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด เช่น พ่อและแม่เป็นนักดนตรีทั้งคู่ ลูกก็จะมีความสามารถในการเข้าถึงดนตรีเป็นพื้นฐานได้ดีกว่าเด็กอื่น จะมาส่งเสริมให้เขาเป็นนักเทนนิสมืออาชีพก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก หรือพ่อและแม่ที่เคยเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งมาทั้งคู่ ลูกๆ ก็จะมีพื้นฐานทางด้านการคำนวณและความจำที่ดีกว่าเด็กอื่น จะให้มาฝึกเป็นนักกีฬาอาชีพใดอาชีพหนึ่งก็อาจจะประสบผลสำเร็จยากกว่าการเป็น นักวิทยาศาสตร์ หมอ หรือวิศวกร เป็นต้น

ในวัยอนุบาล คือ วัยที่มีอายุระหว่าง 3-6 ปี เป็นวัยที่เส้นใยภายในสมองเริ่มลดน้อยลง โดยการลดลงของเส้นใยสมองนี้เป็นไปตามพันธุกรรม เส้นประสาทของครอบครัว ดนตรี ลูกก็จะยังคงมีเส้นใยประสาททางด้านดนตรีอยู่มากมาย ขณะที่เส้นใยประสาทของครอบครัวที่เรียนเก่งก็จะมีการเชื่อมโยงสมองทั้งทาง ด้านความจำและด้านคำนวณคงอยู่จำนวนมาก แต่การฝึกใช้บ่อยๆ ของเส้นใยประสาทแต่ละด้านในวัยนี้ ก็จะช่วยให้มีการคงอยู่มากขึ้นกว่าการไม่ส่งเสริมอะไรเลย เช่น การจะฝึกเล่นกีฬาใดกีฬาหนึ่ง ก็ควรเริ่มฝึกในวัยนี้ ทั้งนี้กีฬาแต่ละชนิดต้องการการคงอยู่ของเส้นประสาทไม่เหมือนกัน เมื่อเริ่มฝึกตั้งแต่วัยนี้ ก็จะมีการคงอยู่ของเส้นประสาทที่จำเป็นต้องใช้ในกีฬาชนิดนั้นอย่างครบถ้วน

คำถามที่ถามบ่อยว่า มีอาหารอะไรหรือไม่ที่จะช่วยบำรุงสมองในช่วงเป็นนักเรียนและนักศึกษา มีการโฆษณาสินค้ามากมายหลายชนิดที่พยายามสื่อว่า ถ้ากินเข้าไปแล้วจะช่วยบำรุงสมอง แต่จากการศึกษายังไม่มีอาหารเสริมชนิดใดเลยที่ช่วยบำรุงสมอง การให้การดูแลที่ถูกต้องแก่ลูกก็จะช่วยบำรุงสมองของลูกได้

ขั้นแรกคือ การได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เด็กนักเรียนชั้นประถมในช่วงกลางคืนควรนอนอย่างต่ำคืนละ 10 ชั่วโมง และเมื่อให้ตื่นขึ้น ควรกินข้าวเป็นมื้อเช้า จึงควรให้ความสำคัญแก่ข้าวมื้อเช้ามากๆ ควรฝึกให้ลูกกินข้าวสวยร่วมกับกับข้าวสัก 1-2 อย่างและตามด้วยนมอีก 1 แก้ว ลูกก็จะได้สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และเพียงพอต่อการเรียนหนังสือจนถึงเที่ยงวัน แล้วจึงต่อด้วยอาหารมื้อเที่ยง ลูกก็จะไม่อ่อนล้าเกินไปต่อการเรียน ในช่วงชั้นมัธยมศึกษา ลูกควรนอนอย่างน้อยคืนละ 9 ชั่วโมง และควรกินมื้อเช้าเช่นวัยประถม สมองของลูกก็พร้อมที่จะเรียนหนังสือได้ตลอดวัน

คำถามสำคัญสุดท้ายก็คือ อาหารอะไรที่พอจะบำรุงสมองสำหรับผู้ใหญ่หรือคนวัยทำงาน วัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา จะเริ่มพบผู้ใหญ่หรือคนชราหลายคนที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ และบางคนเป็นมากจนลืมทุกอย่างแม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ที่เราเรียกว่า โรคอัลไซเมอร์ อาหารที่พอจะช่วยป้องกัน หรือบรรเทาโรคนี้ เห็นจะเป็นกลุ่มที่มี วิตามิน เอ ซี อี และธาตุเซเลเนียม โดยวิตามิน เอ และซี นี้มีมากในผักและผลไม้ จึงควรหมั่นกินเป็นประจำทุกมื้อ ส่วนวิตามิน อี นั้นมีมากในน้ำมันพืชและในไขมันจากสัตว์ แต่มีไม่เพียงพอ ผมจึงขอแนะนำให้ทุกคนกินเสริมวันละ 100 มิลลิกรัม ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปเลย และในกรณีที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ ก็ควรเพิ่มการกินวิตามิน อี เป็นวันละ 200-400 มิลลิกรัม ส่วนธาตุเซเลเนียมนั้นมีมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตับ และไต จึงควรหมั่นกินอาหารเหล่านี้ เป็นประจำเช่นกัน และอย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกๆ วัน เพื่อให้เลือดได้รับการสูบฉีดไปเลี้ยงสมองอย่างทั่วถึง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อาจจะพอสรุปได้ว่า การบำรุงสมองนั้นประกอบด้วย การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการกินอาหารที่มีความหลากหลาย คือ มีเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก ผลไม้ และนม ส่วนที่มีการโฆษณาสินค้าต่างๆ มากมายว่าสามารถบำรุงสมองนั้น ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นจริงเลย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551

กินปลาเพิ่มปัญญา

ปลาช่วยพยุงสมองผู้สูงอายุ สติปัญญาหนุ่มสาวขึ้น 3-4 ปี

ชักชวนผู้สูงอายุให้หมั่นกินปลาเป็นอาหาร ถ้ากินสัปดาห์ละ 1 มื้อ จะช่วยให้สติปัญญาดีขึ้น ไม่แพ้หนุ่มสาวที่วัยอ่อนกว่ากัน 3 ปี และหากกินได้มากถึงอาทิตย์ละ 2 มื้อ สติปัญญาจะดีเท่ากับผู้ที่อ่อนกว่าถึง 4 ปี

หัวหน้าคณะผู้ศึกษา ดร.มาร์ธา แคลร์ มอร์ส แห่งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยรัช ที่นครชิคาโก อธิบายว่า อาหารทะเลมีกรดโอเมกา-3 อยู่อย่างอุดม โดยเฉพาะกรดโดโคซาเฮกแซนออิก กรดประเภทนี้อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งจำเป็นกับการเจริญเติบโตของสมองในระยะต้นของชีวิต การศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ยังส่อว่ามันอาจจะมีความสำคัญ กับผู้คนทางอีกปลายหนึ่งของช่วงอายุด้วย ดูเหมือนว่ามันสำคัญกับผู้สูงอายุด้วย หรืออาจจะกับคนทั่วไปในการทำงานของสมอง

ดร.มาร์ธากับคณะได้ศึกษากับผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้น 3,718 คน เป็นเวลานาน 6 ปี ได้พบว่า ผู้สูงอายุที่กินปลาอาทิตย์อย่างน้อย 1 มื้อ จะมีสติปัญญาเสื่อมน้อยลงไป 10% มามีสติปัญญาเท่ากับผู้ที่มีอายุอ่อนกว่า 3 ปี และถ้ากินมากอาทิตย์ละ 2 มื้อ จะเสื่อมช้าลงเป็น 13% เทียบเท่ากับคนที่อายุอ่อนกว่ากัน 4 ปี การศึกษายังส่อด้วยว่า การกินปลาจะช่วยป้องกันสมองจากฤทธิ์ของกรดไขมัน หรืออาหารที่ไขมันชนิดอิ่มตัวอย่างพวกเนื้อสัตว์.

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 19 ธันวาคม 2548

วิตามินดีป้องมะเร็งลำไส้ใหญ่

วิตามินดีป้องมะเร็งลำไส้ใหญ่ สหรัฐให้กินกันทั้งประเทศ

ศูนย์ วิจัยโรคมะเร็งของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประกาศว่า หากกินวิตามินดีเป็นประจำจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งของลำไส้ ใหญ่ลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง

นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์กล่าวว่า ได้รู้จากการศึกษาว่า หากกินวิตามินดีขนาด 25 ไมโครกรัมให้ได้ทุกวัน จะสามารถปัดเป่ามะเร็งลำไส้ใหญ่ ไม่ให้มาแผ้วพานลงได้ถึง 50% ศาสตราจารย์เอ็ดเวิร์ด กอร์แฮม อาจารย์วิชาวิทยาโรคระบาดอธิบายว่า ความจริงเป็นที่รู้กันว่าวิตามินดีป้องกันโรคมะเร็งชนิดนี้ได้มานานตั้งหลาย สิบปีดีดักแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้ควรจะกินมากน้อยเท่าใดเท่านั้น “แต่การศึกษาหนนี้ ถึงได้รู้ระดับเป้าหมายของวิตามินดีว่า ควรจะกินมากน้อยสักเท่าใด”

ปีหนึ่งๆ มีคนอเมริกันถูกพบว่าเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ ประมาณ 145,000 รายทุกปี และได้มีการคำนวณหาว่า หากชาวอเมริกันพากันกินวิตามินดี จะเสียเงินรวมปีละ 20,000,000,000 บาท แต่จะป้องกันไม่ให้เสียชีวิตได้ อาจมากถึงปีละ 28,000 คน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลลงได้ถึงปีละ 80,000,000,000 บาท.
จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 23 ธันวาคม 2548

13 มิถุนายน 2552

พริก

พริกช่วยลดเสมหะ
พริกเม็ดเล็กใช่ว่าจะเผ็ดเพียงอย่างเดียว สารแคปซาซิน (capsaicin) ในพริกยังช่วยให้ทางเดินหายใจโล่ง เสมหะก็หนีเตลิด ลิ่มเลือดสลายตัว ลดการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

พริกมีหลายชนิด เช่น พริกขี้หนู พริกไทย พริกหยวก พริกเหลือง พริกชี้ฟ้า ประเทศไทยนั้นมักนิยมปลูกพริกอยู่ 2 ชนิดซึ่งได้แก่
1.พริกหวาน พริกหยวก พริกชี้ฟ้า
2.พริกเผ็ดได้แก่ พริกขี้หนูสวน พริกขี้หนูใหญ่

พริกมีวิตามินซี สูง เป็นแหล่งของกรด ascorbic ซึ่งสารเหล่านี้ ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อให้ดูดซึมอาหารดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย (tissue) สำหรับพริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้าของไทย มีปริมาณวิตามิน ซี 87.0 - 90 มิลลิกรัม / 100 g นอกจากนี้พริกยังมีสารเบต้า - แคโรทีนหรือวิตามินเอ สูง

พริกยังมีสารสำคัญอีก 2 ชนิด ได้แก่ Capsaicin และ Oleoresinโดยเฉพาะสาร Capsaicin ที่ นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์รักษาโรค ในอเมริกามีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในชื่อ Cayenne สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร สาร Capsaicin ยังมีคุณสมบัติทำให้เกิดรสเผ็ด ลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ หัวไหล่ แขน บั้นเอว และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายทั้งชนิดเป็นโลชั่นและครีม ( Thaxtra - P Capsaicin) แต่การใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจมีผลกระทบต่ออาการหยุดชะงักการทำงานของกล้ามเนื้อได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัย USFDA ได้กำหนดให้ใช้สาร capsaicin ได้ ที่ความเข้มข้น 0.75 % สำหรับเป็นยารักษาโรค

ประโยชน์จากพริก
พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด
ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริกช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด
หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
พริกช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล
สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริกช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่าคุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริกช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริกช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี
เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
และ http://women.sanook.com

ตะไคร้

ตะไคร้แก้เวียนศีรษะ

ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก ลำต้นใช้ดมแก้อาการวิงเวียนศีรษะ ส่วนใบใช้ต้มดื่มแก้ไอ แก้เจ็บคอ
ใช้ส่วนของเหง้าและลำต้นแก่ ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญหลายชนิดเช่น ต้มยำ และอาหารไทยหลายชนิด ให้กลิ่นหอม มีสรรพคุณทางยาเช่น บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร แก้กลิ่นคาวหรือดับกลิ่นคาวของปลา และเนื้อสัตว์ได้ดีมาก บำรุงสมอง ช่วยให้สมาธิดี ต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียร ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆ ช่วยให้สร่างเร็ว น้ำมันตะไคร้หอมใช้ทากันยุงได้ ถ้าปลูกใกล้ผักอื่นๆจะช่วยกันแมลงได้

ตะไคร้เป็นยารักษาอาการต่างๆดังนี้

อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ใช้ลำต้นแก่สดๆทุบพบแหลกประมาณ 1 กำมือต้มน้ำดื่มหรือประกอบเป็นอาหารอาการขับเบาผู้ที่ปัสสาวะขัด ไม่คล่อง (แต่ต้องไม่มีอาการบวม) ใช้ตะไคร้แก่สดต้มดื่มวันละ 3 ครั้งๆ ละ 1 ถ้วยชาก่อนอาหาร หรือใช้เหง้าแก่ที่อยู่ใต้ดินหั่นฝานเป็นแว่นบางๆคั่วไฟอ่อนๆพอเหลืองชงเป็นยาดื่มวันละ 3 ครั้งๆละ 1 ถ้วยชา

ขอบคุณภาพ วิกิพีเดีย

บล็อกโคลี

บล็อกโคลี ป้องกันมะเร็ง

ในบล็อกโคลีมีสารที่เรียกว่า ซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นสารป้องกันมะเร็ง บล็อกโคลี 1 ถ้วยตวง ให้วิตามินซีมากถึง 13 % ของปริมาณวิตามินซีที่คนเราควรกินต่อวันและบร็อกโคลี่ อุดมด้วย เบต้า-แคโรทีน นอกจากจะเป็นแหล่งวิตามินเอทีสำคัญ บร็อกโคลี่ ยังมีธาตุซีลีเนียมที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนังอีกด้วย ดังนั้น การรับประทานบร็อกโคลี่เป็นประจำจะช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่นง่าย ดูอ่อนกว่าวัยเป็นหนุ่มสาวอยู่ตลอดเวลา

บร็อกโคลี(Broccoli) เป็นผักเพื่อสุขภาพ ที่มีต้นกำเนิดมาจากอิตาลี ตั้งแต่สมัยโรมัน โดยถูกจัดให้อยู่ใน กลุ่มของผักจำพวกกำหล่ำปลี และกะหล่ำดอก เพราะมีส่วนประกอบ ที่ใกล้เคียงกันทั้งรสชาติ และปริมาณเส้นใย รวมทั้งธาตุกำมะถัน ที่มักจะมีอยู่มากในผัก ที่มีสารอาหารบำรุงสุขภาพ
เราสามารถรับประทานบร็อกโคลี ได้ทั้งแบบสด และนำมาประกอบ ในเมนูอาหารต่างๆ เช่น น้ำสลัด พิซซา พาสต้า สเต็ก บร็อกโคลีผัดกุ้ง ซุป ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะให้สารอาหาร จำพวกวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม โฟลิก ฟอสฟอรัส เหล็ก และไฟเบอร์ บร็อกโคลี ยังมีสรรพคุณป้องกัน และรักษาอาการโรคต่างๆ ดังนี้

ป้องกันมะเร็งเต้านม
ในบร็อกโคลี จะประกอบไปด้วยสารเคมี ทางธรมชาติชื่อ sulforaphane และ indoles ซึ่งมีคุณสมบัติ ในการต่อต้านมะเร็ง จากการวิจัย ของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกินส์ พบว่า Sulfaraphane ช่วยลดระดับ การเผาผลาญ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นตัวผลักดัน ให้เนื้องอกที่เต้านม จริญเติบโตขึ้น โดยพบว่า ความเสี่ยงในการพัฒนา เชื้อมะเร็งเต้านม ในหนูทดลองลดลงถึง 60 %
นอกจากนี้ ยังมีการตีพิมพ์ผลการวิจัย เกี่ยวกับมะเร็ง ในวารสาร “Oncology Report” ซึ่งมีการศึกษาและพบว่า Sulforaphane ยังช่วยขับสารพิษ จากเอนไซม์ และป้องกันการเกิดของเซลล์มะเร็งลำไส้ด้วย

มะเร็งต่อมลูกหมาก
จากการวิจัย ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่าในบร็อกโคลี มีสารอาหาร 3,3 -diindolylmethane หรือ DIM ซึ่งมีฤทธิ์ ช่วยต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ให้ยับยั้งการเจริญเติบโต ของเซลล์มะเร็ง ที่ต่อมลูกหมาก โดยปกติแล้ว ฮอร์โมนแอนโดรเจน ในเพศชายก็คล้ายๆ กับเทสโทสเตอโรน ที่มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนา เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก ในระยะแรก ๆ เพราะฉะนั้น การรับประทานบร็อกโคลี ก็จะสามารถยับยั้ง การเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้

มะเร็งในกระเพาะอาหาร
โดยปกติแล้ว คนที่เป็นมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร จะเกิดจากการติดเชื้อ Helicobacteri pylori (H. pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดแผล ในกระเพาะอาหาร และอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็ง ในกระเพาะอาหารได้ โดยสาร sulforaphane ที่อยู่ในบร็อกโคลี จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรค ชนิดนี้ได้
จากการศึกษา ของมหาวิทยาลัยซึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น พบว่า เมื่อผู้ป่วยที่ติดเชื้อ H.pylori รับประทานบร็อกโคลีวันละ 100 กรัม(1 ออนซ์) ทำให้เชื้อ H.pylori ลดลง รวมทั้งเอ็นไซม์เพ็บซิน (pepsinogen) ซึ่งอยู่ในเลือด อันเป็นสาเหตุ ที่ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ ก็ลดลงด้วยเช่นกัน
เนื่องจากในบร็อกโคลี มีสารอาหารเข้มข้นอย่าง sulforaphane สามารถป้องกันอนุมูลอิสระ ที่เข้าไปทำลายเซลล์ และทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุ ของการเกิดมะเร็งได้

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือกินฉลาดปราศจากโรค
และ http://www.thaipaipan.net

ข้าวกล้อง

ข้าวกล้อง ป้องกันเหน็บชา

รู้ไหมว่า ข้าวกล้องอุดมไปด้วยเกลือแร่และวิตามินบี 1 ที่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคเกี่ยวกับระบบประสาท แล้วเส้นใยในข้าวกล้อง ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งกระเพาะอาหาร
วิตามินและเกลือแร่
ข้าวกล้องมีวิตามินเอ วิตามินอี วิตามินบี 1 ที่ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก และวิตามินบีอื่นๆ อีกหลายชนิด และยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลิเนียม แมกนีเซียมที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโพแทสเซียม ช่วยลดความดันโลหิต
ใยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ ลดการท้องผูก ป้องกันโรคเกี่ยวกับลำไส้ และโรคมะเร็งลำไส้ นอกจากนี้ยังป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน

เคล็ดลับในการรับประทานข้าวกล้องอีกประการหนึ่งที่อยากจะ แนะนำคือ ควรรับประทานขณะที่ยังอุ่น เพราะข้าวจะนุ่มและ ควรรับประทานข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมด ในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องจะบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วไป


หมายเหตุ เด็กไม่ควรรับประทานข้าวกล้องเพราะ

1. ข้าวกล้องจะรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุในอาหารโดยเฉพาะแคลเซียม

2. มีกากใยมากไป ไม่ดีสำหรับทารก

3. ข้าวกล้องไม่เหมาะสมกับเด็กที่เติบโตเร็ว ข้าวกล้องจึงเหมาะในผู้ใหญ่แต่ผู้ใหญ่ต้องดื่มนมให้มากขึ้นด้วย
4. ในเด็กไม่อยากให้จะรบกวนการดุดซึมแร่ธาตุต่าง ๆ หลังวัยรุ่นขึ้นไปจึงค่อยให้ข้าวกล้อง
เด็กในช่วง 4 ปีแรกโตเร็วจึงยังควรให้หลังจากนั้นคือ 5-9 ปี ก็ให้ได้ และช่วง 10-18 ปี เขาโตเร็วอีก ต้องการ
แคลเซียมมากจึงควรงดข้าวกล่องไปก่อน

ขอบคุณข้อมูลจาก ศ.นพ.พิภพ จิรภิญโญ www.maedek

ปลูกต้นไม้กับ Power Plant

ปลูกต้นไม้แบบคนรุ่นใหม่ ต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือแบบไฮเทคเข้าช่วยนี่คือ Power Plant ใช้เทคโนโลยีที่รับการรับรองจากองค์กรอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ นาซ่า ที่ยืนยันว่าจะช่วยให้ต้นไม้เติบโตเร็วกว่าการปลูกด้วยดินต้นไม้ที่ปลูกจากเครื่องนี้จะไม่มีรา เหมาะสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเองวิธีปลูกก็ง่าย เพียงใส่เมล็ดพันธุ์ลงไป หมั่นรดน้ำ มันก็จะโตเร็วจนน่าใจหาย (เร็วกว่าการปลูกด้วยดินถึง 50%)เหมาะสำหรับตั้งไว้ในห้องนั่งเล่น ห้องครัว ก็ดูดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและคนในครอบครัว

ที่มา www.manager.co.th

10 มิถุนายน 2552

แอปเปิ้ล ป้องกันมะเร็ง

แอปเปิ้ล วันละ 1 ผล

ในแอปเปิ้ล มีสารเควอซีทีน (quercetin) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดอุดตันในสมอง เส้นเลือดในสมองแตก และภาวะหมดสติได้ นอกจากนั้นในแอปเปิ้ลสดมีวิตามินซีสูง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง

แอปเปิ้ลยังมี เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่ชื่อว่า เพคติน และยังมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน ปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

แอปเปิ้ลช่วยควบคุมน้ำหนัก หากคุณรู้สึกหิวในเวลาที่มิใช่มื้ออาหาร แอปเปิ้ลสักลูกช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิด อ่อนเพลียระหว่างเวลาอาหารมื้อใหญ่ๆ ประโยชน์ของแอปเปิ้ลข้อนี้ สาวๆ สามารถนำไปเป็นเทคนิคควบคุมน้ำหนักอย่างง่ายๆ เวลาที่ต้องไปงานเลี้ยง คือเมื่อเริ่มตักอาหาร ให้ตักผลไม้ก่อน เลือกแอปเปิ้ล ส้ม หรือผลไม้ที่มีกากใยมากๆ รับประทานรองท้องแทนอาหารออเดิร์ฟ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที น้ำตาลผลไม้โมเลกุลเดี่ยวจะถูกดูดซึม ทำให้ความอยากอาหารลดลง คุณจึงรับประทานอาหารคาวได้น้อยลง แต่รู้สึกอิ่มได้ดีกว่าอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลอื่นๆ

1.แอปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตาที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ RED DELICIOUS ที่มีจุดเด่นด้านสุขภาพคือ มีสารแอนติออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

2.แอปเปิ้ลชมพูเช่นพันธุ์ FUJI นั้นมีฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆแอ๊ปเปิ้ลด้วยกันซึ่งสารนี้จะช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรงลดการอักเสป ลดไข้รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย


3.แอปเปิ้ลสีขียวรสเปรี้ยวอมหวาน เป็นขวัญใจคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ก็มีดีไม่แพ้ใครเพราะการกินแอ๊ปเปิ้ลสีเขียวอย่างพันธุ์ GRANNY SMITH นอกจากจะมีน้ำตาลน้อยแล้วยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี


4.แอปเปิ้ลสีเหลืองเป็นแอ๊ปเปิ้ลที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างๆจากเพื่อนๆ เพราะแอ๊ปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์GOLDEN DELICIOUS มีสารเคเวอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

อร่อยดีและมีประโยชน์ทุกสี ใครยังไม่ได้ลองชิมสีไหนต้องลองให้ได้นะคะ


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th
นิตยสาร ชีวจิต
ภาพจากวิกิพีเดีย





บัวบก แก้ช้ำใน

บัวบก

ใบบัวบก มีสรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลียเมื่อยล้า ขับปัสสาวะ รักษาแผลใช้รักษาแผลสดหรือแผลหลังผ่าตัด นำมาเป็นเครื่องดื่ม เป็นยาแก้ช้ำใน ทำให้เลือดกระจายตัว แก้ฟกช้ำได้ดี ช่วยลดอาการกระหายน้ำ

บัวบก เป็นสมุนไพรในเขตร้อนที่ขึ้นในที่ชื้นๆ ทั่วไป เป็นผักพื้นบ้านที่คนในแถบนี้คุ้นเคย ในพม่ามียำใบบัวบก คนมาเลเซียผสมใบบัวบกลงในผักสลัด ในไทยนิยมใช้บัวบกเป็นผักแกล้มลาบ ส้มตำ ซุปหน่อไม้ กินกับน้ำพริก หรือกินกับหมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย และเป็นที่รู้กันดีว่าน้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้ช้ำใน คนจีนเชื่อว่าน้ำใบบัวบกเป็นยาแก้ช้ำใน ช่วยลดการกระหายน้ำ บำรุงกำลัง ในตำรายาไทยกล่าวว่า บัวบกมีรสเฝื่อนขมเย็น แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ ขับโลหิตเสีย

ส่วนที่ใช้ใบและเถา รสกรอบมัน รับประทานเป็นผัก ปรุงเป็นเครื่องดื่มได้ ใบบัวบกเอาไปรับประทานกับก๋วยเตี๋ยวผัดไทยได้อย่างเอร็ดอร่อยเข้ากันได้ดีมาก เคี้ยวก๋วยเตี๋ยวผัดไทยไปพลางแกล้มด้วยใบบัวบกได้รสชาติที่ดีจริงๆหรือใช้เป็นผักแกล้มกับแกงเผ็ดทางใต้ หรือนำมาหั่นแกงกะทิกับกุ้งก็อร่อยเช่นกัน ที่นิยมกันมากคือน้ำใบบัวบกมีผู้ไปทำขายเป็นเครื่องดื่มมีกลิ่นหอมรสดี บวกกับความหวาน ความเย็นแสนจะชื่นใจ ราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิด มีประโยชน์คับแก้ว แต่ไม่ควรนำสีมาผสม เพราะไม่ใช่สีธรรมชาติ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เราควรทำน้ำใบบัวบกดื่มเองจะดีกว่า ง่าย สะดวกไม่ยุ่งยากซับซ้อน

ประโยชน์ในทางการรักษา

1. ใช้รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง หรือแผลหลังผ่าตัด บัวบกจะช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยให้แผลหายเร็ว และแผลเป็นมีขนาดเล็ก
2. ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

วิธีใช้
- ใช้ใบบัวบกสดทั้งต้น 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เอาน้ำทาบริเวณที่เป็นแผลเป็นบ่อยๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น ปัจจุบันทดลองในรูปครีมของสารสกัดจากบัวบก 1 % ใช้ได้ดี
- แก้อาการฟกช้ำ ช่วยให้เลือดกระจายตัว ชาวจีนเชื่อกันว่า บัวบกแก้ฟกช้ำ แก้ช้ำใน ทำให้เลือดกระจายตัวหายฟกช้ำได้ดี แก้กระหายน้ำ และบำรุงร่างกายได้อีกด้วย
- ใช้ในรูปของผักสด และเตรียมเป็นเครื่องดื่ม ประเทศฝรั่งเศสมีการพัฒนายาจากบัวบก โดยทำในรูปของครีมทาแผล ยาผงโรยแผล ยาเม็ดรับประทาน พลาสเตอร์ปิดแผล และในรูปยาฉีด เพื่อใช้ในการรักษาแผลสด และแผลหลังผ่าตัด ในประเทศไทย มีผู้ทดลองเตรียม ครีมจากสารสกัดบัวบกเพื่อใช้ทาแผล และบริเวณฟกช้ำ ใช้รักษาได้ผลดี

ส่วนที่ใช้เป็นยา

ทั้งต้นสด ใบและเมล็ด ช่วงเวลาที่เก็บยาเก็บตอนที่ใบสมบูรณ์เต็มที่ สรรพคุณทางยารวมทั้งต้นสามารถแก้เจ็บคอได้ ทำให้มีความสดชื่น ชุ่มคอ แก้ช้ำในก็ดีมาก สามารถแก้ความดันโลหิตสูงได้อย่างดีทีเดียว
ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง เมื่อดื่มน้ำบัวบกทุกๆวันเป็นประจำเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้นก็จะทราบได้ทันทีว่าความดันโลหิตลดลงอย่างน่าพิศวงโดยไม่ต้องไปรับประทานยา ทั้งยังใช้บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ รักษาบาดแผล แก้โรคปวดเมื่อย แก้โรคเรื้อน แก้กามโรค ตับอักเสบ ส่วนเมล็ดมีรสขมเย็น แก้บิด แก้ไข้ ปวดศีรษะ

ขนาดและวิธีใช้รักษา

แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้บัวบกทั้งต้นสด 1 กำมือ ล้างแล้วตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็น ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาวันละ 3-4 ครั้งจนหาย

รักษาแผลเก่าแผลเป็นให้หายได้ รักษาโรคเรื้อนกวาง นำบัวบกมาดองเหล้า 7 วัน เอายามาทาผิวหนังวันละ 3 ครั้ง

ผู้ที่เป็นโรคตับ ตับโต ตับอักเสบ ใช้ต้นสด 240-550 กรัม ต้มคั้นเอาน้ำขนาดชามใหญ่ดื่มทุกวัน
อาการร้อนในกระหายน้ำ อ่อนเพลีย ใช้น้ำคั้นจากใบสด ทำให้เจือจาง ปรุงรสด้วยน้ำตาลใส่น้ำแข็ง ดื่มเป็นเครื่องดื่มอาการดังกล่าวจะค่อยหายไป

การทดลองและวิจัยมีรายงานพอน่าเชื่อถือได้ ว่าแก้ปวดเมื่อย เจ็บหน้าอก เจ็บหลัง เอว ใช้ต้นแห้งบดเป็นผงรับประทานวันละ3-4 กรัม แบ่งรับประทานเป็น 3 ครั้ง แก้ตับอักเสบใช้ต้นสด 120 กรัม ผสมน้ำ 500 มิลลิลิตร นำไปต้มให้เหลือ 250 มิลลิลิตร ใส่น้ำตาลกรวดลงไป 60 กรัม ขณะที่ยังร้อน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง ตอนท้องว่างติดต่อกัน 7 วัน เป็น 1 รอบของการรักษา นอกจากนี้ใช้ใบบัวบกรักษาแผลเรื้อรัง แผลอักเสบได้ผลดี


ขอบคุณข้อมูลจาก
คลังปัญญาไทย

ขี้เหล็ก แก้ท้องผูก

ขี้เหล็ก

ใบขี้เหล็ก มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับ แก้ท้องผูก ช่วยเจริญอาหาร แก้ระดูขาว ขับนิ่ว ขับปัสสาวะ
ส่วนดอกช่วยคลายเครียด ทำให้นอนหลับ และขจัดรังแค

ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ต้องคั้นน้ำทิ้งหลาย ๆ ครั้งก่อนจึงเอามาปรุงอาหารได้ นิยมนำมาทำแกงกะทิ หรือทำเป็นผักจิ้มจะช่วยระบายท้องได้ดีทั้งดอกตูมและใบอ่อนมีสารอาหารหลายอย่างคือ วิตามิน เอ และวิตามินซี ค่อนข้างสูงในดอกมีมากกว่าใบ
เอาใบขี้เหล็กมาบ่มรวมกับผลไม้จะช่วยทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น

การใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพร
- ดอก รักษาโรคเส้นประสาท นอนไม่หลับ ทำให้หลับสบาย รักษาโรคหืด รักษาโรคโลหิตพิการ ผายธาตุ รักษารังแค ขับพยาธิ
- ราก รักษาไข้ รักษาโรคเหน็บชา ทาแก้เส้นอัมพฤกษ์ให้หย่อน แก้ฟกช้ำ แก้ไข้บำรุงธาตุ ไข้ผิดสำแดง
- ลำต้นและกิ่ง เป็นยาระบาย รักษาโรคผิวหนัง แก้โรคกระษัย แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว
- ทั้งต้น แก้กระษัย ดับพิษไข้ แก้พิษเสมหะ รักษาโรคหนองใน รักษาอาการตัวเหลือง เป็นยาระบาย บำรุงน้ำดี ทำให้เส้นเอ็นหย่อน
- เปลือกต้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร โรคหิด แก้กระษัยใช้เป็นยาระบาย
- กระพี้ รสขมเฝื่อน แก้ร้อนกระสับกระส่าย บำรุงโลหิต คุมกำเนิด
- ใบ รักษาโรคบิด รักษาโรคเบาหวาน แก้ร้อนใน รักษาฝีมะม่วง รักษาโรคเหน็บชา ลดความดันโลหิตสูง ขับพยาธิ เป็นยาระบาย รักษาอาการ นอนไม่หลับ
- ฝัก แก้พิษไข้เพื่อน้ำดี พิษไข้เพื่อเสมหะ แก้ลมขึ้นเบื้องสูง เบื้องบน โลหิตขึ้นเบื้องบน ทำให้ระส่ำระสายในท้อง
- เปลือกฝัก แก้เส้นเอ็นพิการ
- ใบแก่ ใช้ทำปุ๋ยหมัก

ข้อควรระวัง

1. สมุนไพรพวกนี้ ให้ใช้ในขณะที่มีอาการท้องผูก ห้ามใช้ประจำ เพื่อจุดประสงค์ต้องการให้มีรูปร่างระหง และควรรับประทานยาสมุนไพรก่อนนอน
2. ขนาดที่ใช้อาจเพิ่มหรือลดลงได้เล็กน้อยขึ้นอยู่กับ "อายุ" เด็ก หรือผู้ที่ธาตุเบา ควรใช้ขนาดลดลง ถ้าผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว หรือ ธาตุหนัก ควรเพิ่มสมุนไพรเล็กน้อย

3. ห้ามใช้ในบุคคลที่กำลังตั้งครรภ์แก่

4. ระวังสำหรับผู้ที่ป่วยเกี่ยวกับตับซึ่งอาจมีผลต่อตับ และมีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้

ขอบคุณข้อมูลจาก
คลังปัญญาไทย
วิกิพีเดีย



มะตูม แก้กระหายน้ำ


ใบมะตูมมีรสฝาด ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร แก้โรคลำไส้ ท้องเดิน ผลอ่อนช่วยให้เจริญอาหาร ส่วนผลสุกมีรสหวาน แก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด แก้กระหายน้ำ

ผลดิบของมะตูม ฝานทำให้แห้ง คั่ว ใช้ชงน้ำดื่มแก้อาการท้องเสีย แก้บิด ผลสุกเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยย่อย ใบมะตูมสดใช้คั้นน้ำกิน ลดอาการหลอดลมอักเสบ เปลือกและต้นรักษาไข้มาเลเรียผลสุกเป็นผลไม้และใช้ทำน้ำปานะ ยางจากผลดิบผสมสีทากระดาษแทนกาวได้

ยอดอ่อนและใบอ่อนของมะตูม มีรสเผ็ดร้อน อมฝาด กลิ่นหอม เป็นยาบำรุงธาตุทำให้เจริญอาหาร แก้ท้องเดิน ผลมะตูมอ่อน เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ ยอดอ่อน ใบอ่อน ของมะตูมรับประทานเป็นผักสด ร่วมกับ ลาบ ก้อย แจ่วป่น น้ำพริกและแกงรสจัด มะตูมอ่อน ปรุงเป็นยำมะตูม

31 พฤษภาคม 2552

มะระขี้นก

มะระขี้นกช่วยเจริญอาหาร

นอกจากนั้นยังแก้โรคลมเข้าข้อ ข้อเข่าบวม บำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม โรคตับ ขับพยาธิในท้อง น้ำใบมะระต้มเป็นยาระบายอ่อน ๆ รักษาโรคเบาหวาน


ส่วนน้ำคั้นผลมะระแก้ปากเปื่อยปากเป็นขุย


มะระมีพลังของความเย็น สรรพคุณขับพิษ ผลมะระช่วยฟอกเลือด บำรุงตับ มีผลดีต่อสายตา และผิวหนัง


กินมะระ จะช่วยลดสิวหรือเม็ดสิวอุดตันที่ขึ้นตามใบหน้าหรือผิวหนัง


มะระขี้นก


ราก แก้พิษ รักษาริดสีดวงทวาร ฝาดสมาน แก้พิษดับร้อน แก้บิด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แผลฝีบวมอักเสบ ปวดฟันที่เกิดจากลมร้อนเถา ยาระบายอ่อน ๆ แก้พิษทั้งปวง เจริญอาหาร แก้โรคลมเข้าข้อและเท้าบวม แก้ปวดตามข้อมือและนิ้วมือนิ้วเท้า แก้โรคม้าม แก้โรคตับ ขับพยาธิในท้อง แก้พิษน้ำดีพิการ ลดเสมหะ บำรุงน้ำดี แก้พิษดับร้อน แก้บิด แก้ฝีอักเสบ แก้ปวดฟัน แก้ไข้

ใบ แก้ไข้ ดับพิษร้อน แก้ปากเปื่อยเป็นขุย ขับพยาธิ ขับระดู บีบมดลูก ขับลม แก้ธาตุไม่ปกติ ทำให้นอนหลับ แก้ปวดศีรษะ แก้พิษ แก้ไอเรื้อรัง ยาระบายอ่อน ๆ แก้เสียดท้อง บำรุงธาตุ ขับพยาธิเส้นด้าย ดับพิษฝีที่ร้อน รักษาแผล บำรุงน้ำดี แก้ไข้หวัด ไข้ตัวร้อน ยาฟอกเลือด แก้ร้อนใน แก้ม้าม แก้ตับพิการ แก้ฟกบวมอักเสบ แก้ปวดเนื่องจากลมคั่งในข้อ ทำให้อาเจียน แก้โรคกระเพาะ แก้บิด แผลฝีบวมอักเสบ เจริญอาหาร ฟอกโลหิต รัดถานและถอนไส้ฝี

ดอก แก้พิษ แก้บิด

ผล แก้พิษฝี แก้ฟกบวม แก้อักเสบ แก้โรคลมเข้าข้อ บำรุงน้ำดี ขับพยาธิ แก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย บำรุงระดู ดับพิษร้อน ถ่ายท้อง แก้พิษ ขับลม แก้คัน แก้ธาตุไม่ปกติ แก้เสียดท้อง แก้เจ็บปวดอักเสบ ระบายอ่อนๆ แก้บวม แก้โรคผิวหนัง บำบัดโรคเบาหวาน ยาบำรุง ทาหิด ฝาดสมาน แก้โรคเม็ดผดผื่น คันในตัวเด็ก แก้พิษไข้ แก้หัวเข่าบวม แก้ปวดตามข้อ แก้ม้าม แก้ตับพิการ เจริญอาหาร ใช้มากๆ เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาโรคเรื้อน บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ปวดเจ็บอักเสบจากพิษต่างๆ ดับร้อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ตาสว่าง แก้บิด ตาบวมแดง แผลบวม เป็นหนอง ต้านมะเร็ง

เมล็ด แก้พิษ เป็นยากระตุ้นความรู้สึกทางเพศ เพิ่มพูนลมปราณ บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ต้านมะเร็ง

ทั้งห้า บำรุงน้ำดี ดับพิษทั้งปวง เจริญอาหาร บำรุงน้ำนม แก้ไข้
ไม่ระบุส่วนที่ใช้ แก้ไข้ บำรุงโลหิต แก้โรคลมเข้าข้อ หัวเข่าบวม บำรุงน้ำดี ระบาย แก้โรคม้าม โรคตับ ยาฟอกเลือด ถ่ายพยาธิเข็มหมุด ยาเจริญอาหาร ดับพิษ แก้คัน ทาหิด แก้โรคผิวหนัง บำบัดโรคเบาหวาน ขับพยาธิ

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้รักษาแผลสด

วุ้นจากใบว่านหางจระเข้ ใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ทำให้สุขภาพของตับอ่อนดีขึ้น ส่วนสารพวกเรซิน อโลอีโมดิน ในวุ้นจะช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ผิวหนังไหม้เกรียมจากแสงแดด


การใช้วุ้นของว่านหางจระเข้รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลไหม้เกรียมจากแสงแดด และการฉายรังสี โดยเลือกวุ้นจากใบที่อยู่ส่วนล่างของต้น ปอกเปลือกสีเขียวออก ล้างยางสีเหลืองออกให้สะอาดด้วยน้ำต้มสุก หรือน้ำด่างทับทิม เพราะอาจจะระคายเคืองผิวหนัง และทำให้มีอาการแพ้ได้ (ในบางคน) ขูดเอาวุ้นใส หรือฝานเป็นแผ่นบาง ๆ มาพอกแผล แล้วใช้ผ้าพันแผลที่สะอาดพันทับให้ชุ่มอยู่ตลอดเวลาในชั่วโมงแรก ต่อจากนั้นทาวันละ 3-4 ครั้ง จนกว่าแผลจะหาย วุ้นของว่านหางจระเข้ยังสามารถ ใช้รักษาฝีพุพองได้อีกด้วย เพราะจะช่วยลดการอักเสบของแผล

วุ้นสดของว่านหางจระเข้ไม่ควรเก็บไว้เกิน 24 ชั่วโมง

ขมิ้นชัน

ขมิ้นชันรักษากระเพาะ

เหง้าขมิ้นชัน มีน้ำหอมระเหยที่กระตุ้นการหลั่งเมือกออกมาเคลือบกระเพาะอาหารลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวดท้อง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด ขับลม และช่วยให้เจริญอาหาร


ขมิ้น
เหง้าของขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา ลดการ อักเสบ และ มีฤทธิ์ในการ ขับน้ำดี น้ำมันหอมระเหย ในขมิ้นชัน มีสรรพคุณบรรเทา อาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นจุดเสียด

การใช้ขมิ้นชัน แก้แพ้แก้อักเสบ แผล ฝีพุพอง แมลงสัตว์กัดต่อยภายนอก โดยใช้เหง้ายาวประมาณ 2 นิ้ว ฝนกับน้ำต้มสุกทาบริเวณที่เป็น วันละ 3 ครั้ง หรือใช้ผงขมิ้นโรยทาบริเวณที่มีอาการ ผื่นคันจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้
อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียดและอาหารไม่ย่อย ใช้เหง้าขมิ้น ไม่ต้องปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัด ๆ สัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน ถ้ามีอาการท้องเสียให้หยุดยาทันที

นอกจากโรคเกี่ยวกับท้องแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายและช่วยบำรุงตับ รักษาระบบทางเดินหายใจที่ผิดปกติ หืด ไอ เวียนศีรษะ รักษาอาการปวดและอักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบอีกด้วย เพราะว่ามีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้นกันให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ขับน้ำดีช่วยในการย่อยและป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี มีฤทธิ์ขับลม


ในเด็กเล็กเวลายุงกัดหรือเป็นแผลใช้ขมิ้นมาทารักษาได้ผลดีมาก


ใครอยากผิวสวยก็ใช้ผงขมิ้นผสมมะขามเปียกขัดผิวอาทิตย์ละ 1 - 2 ครั้ง รับรองผิวเนี่ยนนุ่มเชียวละ


ใบอ่อน ๆ ก็นำมารองห่อหมกกินอร่อยเชียวล่ะ

มะม่วงหิมพานต์



มะม่วงหิมพานต์รักษาโรคผิวหนัง


เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ใช้แก้กลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง ยางใช้รักษาหูด ตาปลา ใบใช้พอกแก้โรคผิวหนัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก นำใบไปเผาใช้สูดดม แก้ไอ แก้เจ็บคอ ส่วนผลใช้รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

แก้ท้องร่วง


มะม่วงหิมพานต์

ในประเทศไทย มะม่วงหิมพานต์พบได้ทั่วไปในภาคใต้ และมีชื่อเรียกตามสำเนียงภาษาถิ่นใต้แตกต่างกันไป เช่น กาหยู กาหยี (เข้าใจว่าเป็นคำยืมจากภาษามลายู ซึ่งยืมจากภาษาโปรตุเกสอีกทอดหนึ่ง) ม่วงเม็ดล่อ ม่วงเล็ดล่อ หัวครก เป็นต้น


ตำนานของชื่อมะม่วงหิมพานต์มีมาว่า


ครั้งหนึ่งหัวหน้าเทวดาบนสวรรค์เกิดป่วยขึ้นมา เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างพากันไปเสาะแสวงหาผลไม้ชนิดต่าง ๆ มาคั้นเอาน้ำทำยารักษา แต่ก็ยังไม่หาย ตกกลางคืนเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่องค์หนึ่งได้มาเข้าฝันว่า ผลไม้ที่สามารถรักษาอาการป่วยครั้งนี้ได้นั้นมีอยู่ต้นเดียวและมีผลอยู่ลูกเดียวเท่านั้น อยู่ในป่าหิมพานต์ ลักษณะเป็นผลสีเหลือง ต้นเป็นไม้ใหญ่มีใบหนา แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วบริเวณที่ขึ้นอย่างกว้างขวาง
เมื่อเทวดาทั้งหลายทราบเรื่องก็พากันเหาะไปเก็บมาให้ ครั้นได้กินยาที่คั้นจากน้ำผลไม้ แล้วหัวหน้าเทวดาก็หายป่วยอย่างอัศจรรย์ ฝ่ายต้นแม่ของผลไม้นั้น เมื่อถูกเด็ดลูกไปก็ร้องไห้เสียใจเหมือนแม่ที่ถูกคนอื่นมาพรากลูกไปจากอก จากกนั้นอีกหลายร้อยปีต่อมาจึงออกผลมาอีกผลหนึ่ง และต้นไม้นั้นก็มีอายุมากใกล้จะตายแล้ว ผลของมันจึงคิดว่าถ้าแม่ตาย มันคงอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีต้นแม่คอยหล่อเลี้ยงอาหาร จึงคิดจะคายเม็ดออกมาให้หล่นสู่พื้น เพื่อที่จะได้งอกเป็นต้นพันธุ์ต่อไป

ฝ่ายหัวหน้าเทวดาเห็นผลต้นไม้ที่เคยใช้เป็นยากำลังคายเมล็ดเกือบจะร่วงลงดินอยู่แล้วก็ตวาดไปว่า "อย่าร่วง" ด้วยวาจาสิทธิ์ เมล็ดผลไม้นั้นก็ติดห้อยอยู่กับผลด้านนอกมาตราบทุกวันนี้ คำว่าอย่าร่วงต่อมาได้เพี้ยนไปเป็น "ยาร่วง" ซึ่งเป็นชื่อเรียกมะม่วงหิมพานต์ของชาวใต้ ต่อมาเพี้ยนจากยาร่วงมาเป็น "มะม่วง" และเนื่องจากต้นพันธุ์ดั้งเดิมมีกำเนิดอยู่ในป่าหิมพานต์ จึงมีชื่อเรียกในปัจจุบันว่า "มะม่วงหิมพานต์
ในเมล็ดมะม่วงหิมพานต์นี้ก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับถั่วเปลือกแข็งด้วยกัน มะม่วงหิมพานต์ถือว่ามีไขมันน้อยกว่ามาก คือ 47% เท่านั้น ทำให้เมื่อแกะเปลือกออกแล้วเก็บได้นาน ไม่เหม็นหืน แถมไขมันในเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ก็ยังเป็นไขมันชนิดดีถึงกว่า 75% และมีแร่ธาตุที่สำคัญอย่างฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม อีกทั้งยังมีวิตามินอีในปริมาณมากเท่าๆ กับในถั่วลิสง แถมยังมีเส้นใยมากถึง 16 กรัม ต่อเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัมอีกด้วย


มะม่วงหิมพานต์ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร ผลสุกจะเป็นยาบำรุงกำลัง ยาระบายอ่อนๆ และขับปัสสาวะได้ เปลือกของผลดิบเป็นยาคุมธาตุ ดอกเปลือก เนื้อใน เมล็ด รับประทานแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้อาเจียน สำหรับใบเอามาเผาสูดควันรักษาอาการไอและเจ็บคอ นอกจากนี้ยางของผลสดที่ยังไม่สุกและเด็ดออกมาใหม่ๆ ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาหูดได้โดยนำยางมาทาบริเวณที่เป็นหูด ทาบ่อยๆจนกว่าจะหาย ส่วนยางจากต้นจะใช้รักษาอาการตาปลาได้ โดยนำยางจากต้นไปทาบริเวณที่เป็นตาปลา ยางจะกัดเนื้อบริเวณนั้น ส่วนยางจากเมล็ดนั้นจะใช้รักษาโรคกลากเกลื้อนได้

ทางภาคใต้จะใช้ใบอ่อนกินเป็น ผักเหนาะ กินกับขนมจีน หรือน้ำพริก

ส่วนผลสุก นำมายำโดยใส่หอมแดงซอย พริกขี้หนูซอย น้ำตาล น้ำปลา


เมล็ดคั่วให้สุกเอาเปลือกออก กินเล่น มัน ๆ




แปะก๊วย


แปะก๊วยบำรุงสมอง


ใบแปะก๊วย มีสรรพคุณต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง ป้องกันการรวมตัวของเกล็ดเลือดและสามารถป้องกันภาวะสมองเสื่อมในวัยชราได้


แปะก๊วย
ในปัจจุบันหลายๆ ประเทศได้ให้การยอมรับถึงสรรพคุณของใบแปะก๊วยในการรักษา โรคสมองเสื่อม โดยการนำสารสกัดจากใบแปะก๊วยมารวมกับสารอื่น ๆ ช่วยให้การดูดซับที่ผนังลำไส้เล็กดีขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถนำเอาสารสกัดจากใบแปะก๊วยนี้มาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น


นอกจากนี้ยังมีการนำสารสกัดดังกล่าวมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อบำรุงสมอง และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ใช้รักษาโรคความจำเสื่อมโรคซึมเศร้า อาการหลงๆ ลืมๆ อันเนื่องมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอในผู้ป่วยสูงอายุ ผลแปะก๊วยที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจีนหลากหลายชนิด มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าแหล่งใหญ่ของสารที่ทำหน้าที่ช่วยเสริมสุขภาพดังกล่าว กลับพบมากในส่วนของใบมากกว่าผลเสียอีก แปะก๊วย

ตำลึง



ตำลึงบำรุงร่างกาย


ใบตำลึงแก่ มีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี เหล็ก แคลเซียม ช่วยบำรุงเลือดทำให้ผิวพรรณดี นำไปคั้นน้ำดื่ม แก้โรคหลอดลมอักเสบและรักษาเบาหวานได้


ตำลึง
สรรพคุณตำลึงอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง เช่น สารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก และฟัน และยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน วิตามินซีและอื่น ๆ นอกจากนี้ จากการค้นคว้าของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ตำลึงมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร อีกด้วย สำหรับตำรายาแผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน เจ็บตา ตาแดงและตาแฉะ แก้โรคผิวหนัง และลดน้ำตาลในเลือด

ราก : แก้ดวงตาเป็นฝ้า ลดความอ้วน แก้ไข้ทุกชนิด ดับพิษทั้งปวง ฝนทาภายนอก แก้ฝีต่างๆ แก้ปวดบวม แก้พิษร้อนภายใน แก้พิษแมลงป่องหรือตะขาบต่อย

ต้น : กำจัดกลิ่นตัว น้ำจากต้น รักษาเบาหวาน
เปลือกราก : เป็นยาถ่าย ยาระบาย

เถา : แก้ฝี ทำให้ฝีสุก แก้ปวดตา แก้โรคตา แก้ตาฝ้า ตาแฉะ แก้พิษอักเสบจากลูกตา ดับพิษร้อน ถอนพิษ เป็นยาโรคผิวหนัง แก้เบาหวาน

ใบ : เป็นยาพอกรักษาผิวหนัง รักษามะเร็งเพลิง แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด แก้หืด รักษาผื่นคันที่เกิดจากพิษของหมามุ้ย ตำแย บุ้งร่าน ใช้เป็นยาเขียว แก้ไข้ ดับพิษร้อน ถอนพิษทั้งปวง แก้ปวดแสบปวดร้อน ถอนพิษคูน แก้คัน แก้แมลงกัดต่อย แก้ไข้หวัด แก้พิษกาฬ แก้เริม แก้งูสวัด
ใช้เป็นรักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงกัดต่อย เช่น ยุงกัด ถูกตัวบุ้ง แพ้ละอองข้าว โดยเอาใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กแล้วคั้นน้ำจากใบเอามาทาบริเวณที่มีอาการ พอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย

ผล : แก้ฝีแดง

ทั้งห้า รักษาโรคผิวหนัง รักษาอาการอักเสบของหลอดลม รักษาเบาหวาน

29 พฤษภาคม 2552

มะนาวสารพัดประโยชน์



มะนาวมีวิตามินซีสูง

ใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิด น้ำมันหอมระเหยตรงเปลือกช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ส่วนกรดในน้ำมะนาวจะไปกระตุ้นให้มีการขับน้ำลาย ช่วยลดอาการไอและขับเสมหะ


สรรพคุณทางยา

มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย มะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา บำรุงผิว เป็นต้น


มะนาวขจัดรังแค

ขั้นตอนการทำ คือ นำน้ำมะนาว 8 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำบริสุทธิ์ครึ่งถ้วย คนน้ำมะนาวและน้ำเข้าด้วยกัน แล้วนวดลงบนหนังศีรษะและเส้นผมด้วยปลายนิ้วอย่างเบา ๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายและช่วยระบบหมุนเวียนของโลหิตและระบบประสาท พร้อมหมักทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง แล้วล้างออก จะช่วยล้างรังแคเหนียว ๆ ที่ติดอยู่บนหนังศีรษะ และช่วยทำให้เส้นผมนุ่ม สลวยเป็นเงางาม


มะนาวช่วยเลิกบุหรี่

ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวในการประชุมวิชาการ "บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ" ครั้งที่7 เรื่อง "เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจต้านภัยบุหรี่" จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ว่า จากผลการวิจัยพบในวิตามินซีจะมีสารที่ช่วยลดความอยากนิโคตินได้ และช่วยฟื้นฟูร่างกายที่ทรุดโทรมให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จึงมีการนำไปใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยเทคนิคการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยวที่มีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะมะนาวพบว่าเมื่อนำไปใช้แล้วมีประสิทธิภาพได้ผลดีมาก เนื่องจากมะนาวมีผลต่อการทำงานของต่อมรับรสขม ทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไป (จากไทยโพสต์)


ผศ.กรองจิตกล่าวว่าวิธีการกินมะนาวช่วยเลิกบุหรี่ต้องหั่นมะนาวเป็นชิ้น เล็กๆ ให้มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือพอคำ เมื่อมีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ให้กินมะนาวแทน โดยอมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้าๆ นาน 3-5 นาที จะมีผลทำให้ลิ้นขม เฝื่อน จากนั้นดื่มน้ำ 1 อึก นอกจากช่วยลดความอยากนิโคตินแล้ว เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาติบุหรี่เปลี่ยนเป็นขมจนไม่อยากสูบ และสามารถกินมะนาวหรือผลไม้ชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมากๆ ได้ทุกครั้งที่เกิดความอยากบุหรี่ แต่เมื่อเทียบกันพบว่ามะนาวจะได้ผลดีที่สุด


เลือกมะนาว มาใช้ปรุงน้ำจิ้ม น้ำพริก ต้มยำ หรือยำ ให้เลือกมะนาวที่สด ผิวเขียว มีเปลือกบาง ผิวตึง เพราะจะมีน้ำมันหอมระเหยที่ผิวและมีน้ำมะนาวมาก หากเลือกมะนาวผิวเหลือง ผลเก่า แม้จะเจอลูกที่มีน้ำมากก็จริง แต่จะไม่ค่อยมีกลิ่นหอมของมะนาวเมื่อนำมาทำอาหาร


การเก็บมะนาวให้สดและนาน ถ้า ต้องการเก็บผลมะนาว ทำโดย....นำไปหมกทรายหรือหมกถังข้าวสาร ก็จะสามารถเก็บผลมะนาวได้สดและนาน และในทางเอื้อประโยชน์กัน การนำผลมะนาวไปหมกไว้ในถังข้าวสาร ยังจะช่วยป้องกันมอด ไม่ให้เกิดขึ้นในข้าวสารอีกทางหนึ่ง...... สำหรับน้ำมะนาวที่คั้นแล้วและใช้ไม่หมด ให้เก็บไว้ในช่องแช่แข็ง เมื่อถึงเวลาจะใช้ ก็ตักแบ่งออกมาเท่าที่ต้องการ เมื่อนำออกมาวาง ณ อุณหภูมิห้องสักครู่ น้ำมะนาวก็จะใช้งานได้เป็นปกติ ยังไม่เสียรสชาติ

สารพิษจากสมุนไพร

ประชาชนชาวไทยมีความตื่นตัวที่จะรักษาสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ จึงสนใจรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมีกรรมวิธีการผลิตและรูปแบบแตกต่างกัน เช่น ผง ถุงชงและแคปซูล ในการผลิตสมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบ อาจเป็นสมุนไพรสดหรือแห้ง การปนเปื้อนของเชื้อราอาจเกิดได้ทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การเก็บเกี่ยว การตากแห้ง การบดละเอียด การเก็บรักษา และการบรรจุหีบห่อ สารพิษจากเชื้อราอาจปนเปื้อนอยู่ในสมุนไพร แม้จะตรวจไม่พบเชื้อราบนผลิตภัณฑ์ เพราะตัวเชื้อราถูกขจัดออกไประหว่างแปรรูป จึงเป็นการยากที่จะทราบว่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่าง ๆ มีการปนเปื้อนจากสารพิษของเชื้อราหรือไม่ นอกจากจะตรวจวิเคราะห์หาปริมาณสารพิษโดยตรง

ดังนั้นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพร ต้องคำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น หากมีเชื้อราหรือสารพิษอยู่ในผลิตภัณฑ์ โดยผู้บริโภคนอกจากจะพิจารณาการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นอาหารและยารักษาโรคแล้ว ควรเลือกบริโภคพืชสมุนไพรสดมากกว่าตากแห้งหรือแปรรูป โดยอาจเลือกรับประทานผักผลิตภัณฑ์สดสะอาดถูกหลักอนามัย ซึ่งมีให้เลือกมากมายดังต่อไปนี้