31 พฤษภาคม 2552

มะม่วงหิมพานต์



มะม่วงหิมพานต์รักษาโรคผิวหนัง


เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ใช้แก้กลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง ยางใช้รักษาหูด ตาปลา ใบใช้พอกแก้โรคผิวหนัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก นำใบไปเผาใช้สูดดม แก้ไอ แก้เจ็บคอ ส่วนผลใช้รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

แก้ท้องร่วง


มะม่วงหิมพานต์

ในประเทศไทย มะม่วงหิมพานต์พบได้ทั่วไปในภาคใต้ และมีชื่อเรียกตามสำเนียงภาษาถิ่นใต้แตกต่างกันไป เช่น กาหยู กาหยี (เข้าใจว่าเป็นคำยืมจากภาษามลายู ซึ่งยืมจากภาษาโปรตุเกสอีกทอดหนึ่ง) ม่วงเม็ดล่อ ม่วงเล็ดล่อ หัวครก เป็นต้น


ตำนานของชื่อมะม่วงหิมพานต์มีมาว่า


ครั้งหนึ่งหัวหน้าเทวดาบนสวรรค์เกิดป่วยขึ้นมา เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างพากันไปเสาะแสวงหาผลไม้ชนิดต่าง ๆ มาคั้นเอาน้ำทำยารักษา แต่ก็ยังไม่หาย ตกกลางคืนเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่องค์หนึ่งได้มาเข้าฝันว่า ผลไม้ที่สามารถรักษาอาการป่วยครั้งนี้ได้นั้นมีอยู่ต้นเดียวและมีผลอยู่ลูกเดียวเท่านั้น อยู่ในป่าหิมพานต์ ลักษณะเป็นผลสีเหลือง ต้นเป็นไม้ใหญ่มีใบหนา แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วบริเวณที่ขึ้นอย่างกว้างขวาง
เมื่อเทวดาทั้งหลายทราบเรื่องก็พากันเหาะไปเก็บมาให้ ครั้นได้กินยาที่คั้นจากน้ำผลไม้ แล้วหัวหน้าเทวดาก็หายป่วยอย่างอัศจรรย์ ฝ่ายต้นแม่ของผลไม้นั้น เมื่อถูกเด็ดลูกไปก็ร้องไห้เสียใจเหมือนแม่ที่ถูกคนอื่นมาพรากลูกไปจากอก จากกนั้นอีกหลายร้อยปีต่อมาจึงออกผลมาอีกผลหนึ่ง และต้นไม้นั้นก็มีอายุมากใกล้จะตายแล้ว ผลของมันจึงคิดว่าถ้าแม่ตาย มันคงอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีต้นแม่คอยหล่อเลี้ยงอาหาร จึงคิดจะคายเม็ดออกมาให้หล่นสู่พื้น เพื่อที่จะได้งอกเป็นต้นพันธุ์ต่อไป

ฝ่ายหัวหน้าเทวดาเห็นผลต้นไม้ที่เคยใช้เป็นยากำลังคายเมล็ดเกือบจะร่วงลงดินอยู่แล้วก็ตวาดไปว่า "อย่าร่วง" ด้วยวาจาสิทธิ์ เมล็ดผลไม้นั้นก็ติดห้อยอยู่กับผลด้านนอกมาตราบทุกวันนี้ คำว่าอย่าร่วงต่อมาได้เพี้ยนไปเป็น "ยาร่วง" ซึ่งเป็นชื่อเรียกมะม่วงหิมพานต์ของชาวใต้ ต่อมาเพี้ยนจากยาร่วงมาเป็น "มะม่วง" และเนื่องจากต้นพันธุ์ดั้งเดิมมีกำเนิดอยู่ในป่าหิมพานต์ จึงมีชื่อเรียกในปัจจุบันว่า "มะม่วงหิมพานต์
ในเมล็ดมะม่วงหิมพานต์นี้ก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับถั่วเปลือกแข็งด้วยกัน มะม่วงหิมพานต์ถือว่ามีไขมันน้อยกว่ามาก คือ 47% เท่านั้น ทำให้เมื่อแกะเปลือกออกแล้วเก็บได้นาน ไม่เหม็นหืน แถมไขมันในเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ก็ยังเป็นไขมันชนิดดีถึงกว่า 75% และมีแร่ธาตุที่สำคัญอย่างฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม อีกทั้งยังมีวิตามินอีในปริมาณมากเท่าๆ กับในถั่วลิสง แถมยังมีเส้นใยมากถึง 16 กรัม ต่อเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัมอีกด้วย


มะม่วงหิมพานต์ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร ผลสุกจะเป็นยาบำรุงกำลัง ยาระบายอ่อนๆ และขับปัสสาวะได้ เปลือกของผลดิบเป็นยาคุมธาตุ ดอกเปลือก เนื้อใน เมล็ด รับประทานแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้อาเจียน สำหรับใบเอามาเผาสูดควันรักษาอาการไอและเจ็บคอ นอกจากนี้ยางของผลสดที่ยังไม่สุกและเด็ดออกมาใหม่ๆ ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาหูดได้โดยนำยางมาทาบริเวณที่เป็นหูด ทาบ่อยๆจนกว่าจะหาย ส่วนยางจากต้นจะใช้รักษาอาการตาปลาได้ โดยนำยางจากต้นไปทาบริเวณที่เป็นตาปลา ยางจะกัดเนื้อบริเวณนั้น ส่วนยางจากเมล็ดนั้นจะใช้รักษาโรคกลากเกลื้อนได้

ทางภาคใต้จะใช้ใบอ่อนกินเป็น ผักเหนาะ กินกับขนมจีน หรือน้ำพริก

ส่วนผลสุก นำมายำโดยใส่หอมแดงซอย พริกขี้หนูซอย น้ำตาล น้ำปลา


เมล็ดคั่วให้สุกเอาเปลือกออก กินเล่น มัน ๆ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น