13 มิถุนายน 2552

พริก

พริกช่วยลดเสมหะ
พริกเม็ดเล็กใช่ว่าจะเผ็ดเพียงอย่างเดียว สารแคปซาซิน (capsaicin) ในพริกยังช่วยให้ทางเดินหายใจโล่ง เสมหะก็หนีเตลิด ลิ่มเลือดสลายตัว ลดการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

พริกมีหลายชนิด เช่น พริกขี้หนู พริกไทย พริกหยวก พริกเหลือง พริกชี้ฟ้า ประเทศไทยนั้นมักนิยมปลูกพริกอยู่ 2 ชนิดซึ่งได้แก่
1.พริกหวาน พริกหยวก พริกชี้ฟ้า
2.พริกเผ็ดได้แก่ พริกขี้หนูสวน พริกขี้หนูใหญ่

พริกมีวิตามินซี สูง เป็นแหล่งของกรด ascorbic ซึ่งสารเหล่านี้ ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อให้ดูดซึมอาหารดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย (tissue) สำหรับพริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้าของไทย มีปริมาณวิตามิน ซี 87.0 - 90 มิลลิกรัม / 100 g นอกจากนี้พริกยังมีสารเบต้า - แคโรทีนหรือวิตามินเอ สูง

พริกยังมีสารสำคัญอีก 2 ชนิด ได้แก่ Capsaicin และ Oleoresinโดยเฉพาะสาร Capsaicin ที่ นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์รักษาโรค ในอเมริกามีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในชื่อ Cayenne สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร สาร Capsaicin ยังมีคุณสมบัติทำให้เกิดรสเผ็ด ลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ หัวไหล่ แขน บั้นเอว และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายทั้งชนิดเป็นโลชั่นและครีม ( Thaxtra - P Capsaicin) แต่การใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจมีผลกระทบต่ออาการหยุดชะงักการทำงานของกล้ามเนื้อได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัย USFDA ได้กำหนดให้ใช้สาร capsaicin ได้ ที่ความเข้มข้น 0.75 % สำหรับเป็นยารักษาโรค

ประโยชน์จากพริก
พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด
ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริกช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด
หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
พริกช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล
สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริกช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่าคุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริกช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริกช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี
เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
และ http://women.sanook.com

ตะไคร้

ตะไคร้แก้เวียนศีรษะ

ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก ลำต้นใช้ดมแก้อาการวิงเวียนศีรษะ ส่วนใบใช้ต้มดื่มแก้ไอ แก้เจ็บคอ
ใช้ส่วนของเหง้าและลำต้นแก่ ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญหลายชนิดเช่น ต้มยำ และอาหารไทยหลายชนิด ให้กลิ่นหอม มีสรรพคุณทางยาเช่น บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร แก้กลิ่นคาวหรือดับกลิ่นคาวของปลา และเนื้อสัตว์ได้ดีมาก บำรุงสมอง ช่วยให้สมาธิดี ต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียร ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆ ช่วยให้สร่างเร็ว น้ำมันตะไคร้หอมใช้ทากันยุงได้ ถ้าปลูกใกล้ผักอื่นๆจะช่วยกันแมลงได้

ตะไคร้เป็นยารักษาอาการต่างๆดังนี้

อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ใช้ลำต้นแก่สดๆทุบพบแหลกประมาณ 1 กำมือต้มน้ำดื่มหรือประกอบเป็นอาหารอาการขับเบาผู้ที่ปัสสาวะขัด ไม่คล่อง (แต่ต้องไม่มีอาการบวม) ใช้ตะไคร้แก่สดต้มดื่มวันละ 3 ครั้งๆ ละ 1 ถ้วยชาก่อนอาหาร หรือใช้เหง้าแก่ที่อยู่ใต้ดินหั่นฝานเป็นแว่นบางๆคั่วไฟอ่อนๆพอเหลืองชงเป็นยาดื่มวันละ 3 ครั้งๆละ 1 ถ้วยชา

ขอบคุณภาพ วิกิพีเดีย

บล็อกโคลี

บล็อกโคลี ป้องกันมะเร็ง

ในบล็อกโคลีมีสารที่เรียกว่า ซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นสารป้องกันมะเร็ง บล็อกโคลี 1 ถ้วยตวง ให้วิตามินซีมากถึง 13 % ของปริมาณวิตามินซีที่คนเราควรกินต่อวันและบร็อกโคลี่ อุดมด้วย เบต้า-แคโรทีน นอกจากจะเป็นแหล่งวิตามินเอทีสำคัญ บร็อกโคลี่ ยังมีธาตุซีลีเนียมที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนังอีกด้วย ดังนั้น การรับประทานบร็อกโคลี่เป็นประจำจะช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่นง่าย ดูอ่อนกว่าวัยเป็นหนุ่มสาวอยู่ตลอดเวลา

บร็อกโคลี(Broccoli) เป็นผักเพื่อสุขภาพ ที่มีต้นกำเนิดมาจากอิตาลี ตั้งแต่สมัยโรมัน โดยถูกจัดให้อยู่ใน กลุ่มของผักจำพวกกำหล่ำปลี และกะหล่ำดอก เพราะมีส่วนประกอบ ที่ใกล้เคียงกันทั้งรสชาติ และปริมาณเส้นใย รวมทั้งธาตุกำมะถัน ที่มักจะมีอยู่มากในผัก ที่มีสารอาหารบำรุงสุขภาพ
เราสามารถรับประทานบร็อกโคลี ได้ทั้งแบบสด และนำมาประกอบ ในเมนูอาหารต่างๆ เช่น น้ำสลัด พิซซา พาสต้า สเต็ก บร็อกโคลีผัดกุ้ง ซุป ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะให้สารอาหาร จำพวกวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม โฟลิก ฟอสฟอรัส เหล็ก และไฟเบอร์ บร็อกโคลี ยังมีสรรพคุณป้องกัน และรักษาอาการโรคต่างๆ ดังนี้

ป้องกันมะเร็งเต้านม
ในบร็อกโคลี จะประกอบไปด้วยสารเคมี ทางธรมชาติชื่อ sulforaphane และ indoles ซึ่งมีคุณสมบัติ ในการต่อต้านมะเร็ง จากการวิจัย ของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกินส์ พบว่า Sulfaraphane ช่วยลดระดับ การเผาผลาญ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นตัวผลักดัน ให้เนื้องอกที่เต้านม จริญเติบโตขึ้น โดยพบว่า ความเสี่ยงในการพัฒนา เชื้อมะเร็งเต้านม ในหนูทดลองลดลงถึง 60 %
นอกจากนี้ ยังมีการตีพิมพ์ผลการวิจัย เกี่ยวกับมะเร็ง ในวารสาร “Oncology Report” ซึ่งมีการศึกษาและพบว่า Sulforaphane ยังช่วยขับสารพิษ จากเอนไซม์ และป้องกันการเกิดของเซลล์มะเร็งลำไส้ด้วย

มะเร็งต่อมลูกหมาก
จากการวิจัย ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่าในบร็อกโคลี มีสารอาหาร 3,3 -diindolylmethane หรือ DIM ซึ่งมีฤทธิ์ ช่วยต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ให้ยับยั้งการเจริญเติบโต ของเซลล์มะเร็ง ที่ต่อมลูกหมาก โดยปกติแล้ว ฮอร์โมนแอนโดรเจน ในเพศชายก็คล้ายๆ กับเทสโทสเตอโรน ที่มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนา เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก ในระยะแรก ๆ เพราะฉะนั้น การรับประทานบร็อกโคลี ก็จะสามารถยับยั้ง การเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้

มะเร็งในกระเพาะอาหาร
โดยปกติแล้ว คนที่เป็นมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร จะเกิดจากการติดเชื้อ Helicobacteri pylori (H. pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดแผล ในกระเพาะอาหาร และอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็ง ในกระเพาะอาหารได้ โดยสาร sulforaphane ที่อยู่ในบร็อกโคลี จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรค ชนิดนี้ได้
จากการศึกษา ของมหาวิทยาลัยซึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น พบว่า เมื่อผู้ป่วยที่ติดเชื้อ H.pylori รับประทานบร็อกโคลีวันละ 100 กรัม(1 ออนซ์) ทำให้เชื้อ H.pylori ลดลง รวมทั้งเอ็นไซม์เพ็บซิน (pepsinogen) ซึ่งอยู่ในเลือด อันเป็นสาเหตุ ที่ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ ก็ลดลงด้วยเช่นกัน
เนื่องจากในบร็อกโคลี มีสารอาหารเข้มข้นอย่าง sulforaphane สามารถป้องกันอนุมูลอิสระ ที่เข้าไปทำลายเซลล์ และทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุ ของการเกิดมะเร็งได้

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือกินฉลาดปราศจากโรค
และ http://www.thaipaipan.net

ข้าวกล้อง

ข้าวกล้อง ป้องกันเหน็บชา

รู้ไหมว่า ข้าวกล้องอุดมไปด้วยเกลือแร่และวิตามินบี 1 ที่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคเกี่ยวกับระบบประสาท แล้วเส้นใยในข้าวกล้อง ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งกระเพาะอาหาร
วิตามินและเกลือแร่
ข้าวกล้องมีวิตามินเอ วิตามินอี วิตามินบี 1 ที่ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก และวิตามินบีอื่นๆ อีกหลายชนิด และยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลิเนียม แมกนีเซียมที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโพแทสเซียม ช่วยลดความดันโลหิต
ใยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ ลดการท้องผูก ป้องกันโรคเกี่ยวกับลำไส้ และโรคมะเร็งลำไส้ นอกจากนี้ยังป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน

เคล็ดลับในการรับประทานข้าวกล้องอีกประการหนึ่งที่อยากจะ แนะนำคือ ควรรับประทานขณะที่ยังอุ่น เพราะข้าวจะนุ่มและ ควรรับประทานข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมด ในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องจะบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วไป


หมายเหตุ เด็กไม่ควรรับประทานข้าวกล้องเพราะ

1. ข้าวกล้องจะรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุในอาหารโดยเฉพาะแคลเซียม

2. มีกากใยมากไป ไม่ดีสำหรับทารก

3. ข้าวกล้องไม่เหมาะสมกับเด็กที่เติบโตเร็ว ข้าวกล้องจึงเหมาะในผู้ใหญ่แต่ผู้ใหญ่ต้องดื่มนมให้มากขึ้นด้วย
4. ในเด็กไม่อยากให้จะรบกวนการดุดซึมแร่ธาตุต่าง ๆ หลังวัยรุ่นขึ้นไปจึงค่อยให้ข้าวกล้อง
เด็กในช่วง 4 ปีแรกโตเร็วจึงยังควรให้หลังจากนั้นคือ 5-9 ปี ก็ให้ได้ และช่วง 10-18 ปี เขาโตเร็วอีก ต้องการ
แคลเซียมมากจึงควรงดข้าวกล่องไปก่อน

ขอบคุณข้อมูลจาก ศ.นพ.พิภพ จิรภิญโญ www.maedek

ปลูกต้นไม้กับ Power Plant

ปลูกต้นไม้แบบคนรุ่นใหม่ ต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือแบบไฮเทคเข้าช่วยนี่คือ Power Plant ใช้เทคโนโลยีที่รับการรับรองจากองค์กรอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ นาซ่า ที่ยืนยันว่าจะช่วยให้ต้นไม้เติบโตเร็วกว่าการปลูกด้วยดินต้นไม้ที่ปลูกจากเครื่องนี้จะไม่มีรา เหมาะสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเองวิธีปลูกก็ง่าย เพียงใส่เมล็ดพันธุ์ลงไป หมั่นรดน้ำ มันก็จะโตเร็วจนน่าใจหาย (เร็วกว่าการปลูกด้วยดินถึง 50%)เหมาะสำหรับตั้งไว้ในห้องนั่งเล่น ห้องครัว ก็ดูดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและคนในครอบครัว

ที่มา www.manager.co.th

10 มิถุนายน 2552

แอปเปิ้ล ป้องกันมะเร็ง

แอปเปิ้ล วันละ 1 ผล

ในแอปเปิ้ล มีสารเควอซีทีน (quercetin) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดอุดตันในสมอง เส้นเลือดในสมองแตก และภาวะหมดสติได้ นอกจากนั้นในแอปเปิ้ลสดมีวิตามินซีสูง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง

แอปเปิ้ลยังมี เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่ชื่อว่า เพคติน และยังมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน ปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

แอปเปิ้ลช่วยควบคุมน้ำหนัก หากคุณรู้สึกหิวในเวลาที่มิใช่มื้ออาหาร แอปเปิ้ลสักลูกช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิด อ่อนเพลียระหว่างเวลาอาหารมื้อใหญ่ๆ ประโยชน์ของแอปเปิ้ลข้อนี้ สาวๆ สามารถนำไปเป็นเทคนิคควบคุมน้ำหนักอย่างง่ายๆ เวลาที่ต้องไปงานเลี้ยง คือเมื่อเริ่มตักอาหาร ให้ตักผลไม้ก่อน เลือกแอปเปิ้ล ส้ม หรือผลไม้ที่มีกากใยมากๆ รับประทานรองท้องแทนอาหารออเดิร์ฟ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที น้ำตาลผลไม้โมเลกุลเดี่ยวจะถูกดูดซึม ทำให้ความอยากอาหารลดลง คุณจึงรับประทานอาหารคาวได้น้อยลง แต่รู้สึกอิ่มได้ดีกว่าอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลอื่นๆ

1.แอปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตาที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ RED DELICIOUS ที่มีจุดเด่นด้านสุขภาพคือ มีสารแอนติออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

2.แอปเปิ้ลชมพูเช่นพันธุ์ FUJI นั้นมีฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆแอ๊ปเปิ้ลด้วยกันซึ่งสารนี้จะช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรงลดการอักเสป ลดไข้รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย


3.แอปเปิ้ลสีขียวรสเปรี้ยวอมหวาน เป็นขวัญใจคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ก็มีดีไม่แพ้ใครเพราะการกินแอ๊ปเปิ้ลสีเขียวอย่างพันธุ์ GRANNY SMITH นอกจากจะมีน้ำตาลน้อยแล้วยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี


4.แอปเปิ้ลสีเหลืองเป็นแอ๊ปเปิ้ลที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างๆจากเพื่อนๆ เพราะแอ๊ปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์GOLDEN DELICIOUS มีสารเคเวอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

อร่อยดีและมีประโยชน์ทุกสี ใครยังไม่ได้ลองชิมสีไหนต้องลองให้ได้นะคะ


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th
นิตยสาร ชีวจิต
ภาพจากวิกิพีเดีย





บัวบก แก้ช้ำใน

บัวบก

ใบบัวบก มีสรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลียเมื่อยล้า ขับปัสสาวะ รักษาแผลใช้รักษาแผลสดหรือแผลหลังผ่าตัด นำมาเป็นเครื่องดื่ม เป็นยาแก้ช้ำใน ทำให้เลือดกระจายตัว แก้ฟกช้ำได้ดี ช่วยลดอาการกระหายน้ำ

บัวบก เป็นสมุนไพรในเขตร้อนที่ขึ้นในที่ชื้นๆ ทั่วไป เป็นผักพื้นบ้านที่คนในแถบนี้คุ้นเคย ในพม่ามียำใบบัวบก คนมาเลเซียผสมใบบัวบกลงในผักสลัด ในไทยนิยมใช้บัวบกเป็นผักแกล้มลาบ ส้มตำ ซุปหน่อไม้ กินกับน้ำพริก หรือกินกับหมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย และเป็นที่รู้กันดีว่าน้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้ช้ำใน คนจีนเชื่อว่าน้ำใบบัวบกเป็นยาแก้ช้ำใน ช่วยลดการกระหายน้ำ บำรุงกำลัง ในตำรายาไทยกล่าวว่า บัวบกมีรสเฝื่อนขมเย็น แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ ขับโลหิตเสีย

ส่วนที่ใช้ใบและเถา รสกรอบมัน รับประทานเป็นผัก ปรุงเป็นเครื่องดื่มได้ ใบบัวบกเอาไปรับประทานกับก๋วยเตี๋ยวผัดไทยได้อย่างเอร็ดอร่อยเข้ากันได้ดีมาก เคี้ยวก๋วยเตี๋ยวผัดไทยไปพลางแกล้มด้วยใบบัวบกได้รสชาติที่ดีจริงๆหรือใช้เป็นผักแกล้มกับแกงเผ็ดทางใต้ หรือนำมาหั่นแกงกะทิกับกุ้งก็อร่อยเช่นกัน ที่นิยมกันมากคือน้ำใบบัวบกมีผู้ไปทำขายเป็นเครื่องดื่มมีกลิ่นหอมรสดี บวกกับความหวาน ความเย็นแสนจะชื่นใจ ราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิด มีประโยชน์คับแก้ว แต่ไม่ควรนำสีมาผสม เพราะไม่ใช่สีธรรมชาติ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เราควรทำน้ำใบบัวบกดื่มเองจะดีกว่า ง่าย สะดวกไม่ยุ่งยากซับซ้อน

ประโยชน์ในทางการรักษา

1. ใช้รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง หรือแผลหลังผ่าตัด บัวบกจะช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยให้แผลหายเร็ว และแผลเป็นมีขนาดเล็ก
2. ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

วิธีใช้
- ใช้ใบบัวบกสดทั้งต้น 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เอาน้ำทาบริเวณที่เป็นแผลเป็นบ่อยๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น ปัจจุบันทดลองในรูปครีมของสารสกัดจากบัวบก 1 % ใช้ได้ดี
- แก้อาการฟกช้ำ ช่วยให้เลือดกระจายตัว ชาวจีนเชื่อกันว่า บัวบกแก้ฟกช้ำ แก้ช้ำใน ทำให้เลือดกระจายตัวหายฟกช้ำได้ดี แก้กระหายน้ำ และบำรุงร่างกายได้อีกด้วย
- ใช้ในรูปของผักสด และเตรียมเป็นเครื่องดื่ม ประเทศฝรั่งเศสมีการพัฒนายาจากบัวบก โดยทำในรูปของครีมทาแผล ยาผงโรยแผล ยาเม็ดรับประทาน พลาสเตอร์ปิดแผล และในรูปยาฉีด เพื่อใช้ในการรักษาแผลสด และแผลหลังผ่าตัด ในประเทศไทย มีผู้ทดลองเตรียม ครีมจากสารสกัดบัวบกเพื่อใช้ทาแผล และบริเวณฟกช้ำ ใช้รักษาได้ผลดี

ส่วนที่ใช้เป็นยา

ทั้งต้นสด ใบและเมล็ด ช่วงเวลาที่เก็บยาเก็บตอนที่ใบสมบูรณ์เต็มที่ สรรพคุณทางยารวมทั้งต้นสามารถแก้เจ็บคอได้ ทำให้มีความสดชื่น ชุ่มคอ แก้ช้ำในก็ดีมาก สามารถแก้ความดันโลหิตสูงได้อย่างดีทีเดียว
ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง เมื่อดื่มน้ำบัวบกทุกๆวันเป็นประจำเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้นก็จะทราบได้ทันทีว่าความดันโลหิตลดลงอย่างน่าพิศวงโดยไม่ต้องไปรับประทานยา ทั้งยังใช้บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ รักษาบาดแผล แก้โรคปวดเมื่อย แก้โรคเรื้อน แก้กามโรค ตับอักเสบ ส่วนเมล็ดมีรสขมเย็น แก้บิด แก้ไข้ ปวดศีรษะ

ขนาดและวิธีใช้รักษา

แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้บัวบกทั้งต้นสด 1 กำมือ ล้างแล้วตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็น ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาวันละ 3-4 ครั้งจนหาย

รักษาแผลเก่าแผลเป็นให้หายได้ รักษาโรคเรื้อนกวาง นำบัวบกมาดองเหล้า 7 วัน เอายามาทาผิวหนังวันละ 3 ครั้ง

ผู้ที่เป็นโรคตับ ตับโต ตับอักเสบ ใช้ต้นสด 240-550 กรัม ต้มคั้นเอาน้ำขนาดชามใหญ่ดื่มทุกวัน
อาการร้อนในกระหายน้ำ อ่อนเพลีย ใช้น้ำคั้นจากใบสด ทำให้เจือจาง ปรุงรสด้วยน้ำตาลใส่น้ำแข็ง ดื่มเป็นเครื่องดื่มอาการดังกล่าวจะค่อยหายไป

การทดลองและวิจัยมีรายงานพอน่าเชื่อถือได้ ว่าแก้ปวดเมื่อย เจ็บหน้าอก เจ็บหลัง เอว ใช้ต้นแห้งบดเป็นผงรับประทานวันละ3-4 กรัม แบ่งรับประทานเป็น 3 ครั้ง แก้ตับอักเสบใช้ต้นสด 120 กรัม ผสมน้ำ 500 มิลลิลิตร นำไปต้มให้เหลือ 250 มิลลิลิตร ใส่น้ำตาลกรวดลงไป 60 กรัม ขณะที่ยังร้อน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง ตอนท้องว่างติดต่อกัน 7 วัน เป็น 1 รอบของการรักษา นอกจากนี้ใช้ใบบัวบกรักษาแผลเรื้อรัง แผลอักเสบได้ผลดี


ขอบคุณข้อมูลจาก
คลังปัญญาไทย

ขี้เหล็ก แก้ท้องผูก

ขี้เหล็ก

ใบขี้เหล็ก มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับ แก้ท้องผูก ช่วยเจริญอาหาร แก้ระดูขาว ขับนิ่ว ขับปัสสาวะ
ส่วนดอกช่วยคลายเครียด ทำให้นอนหลับ และขจัดรังแค

ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ต้องคั้นน้ำทิ้งหลาย ๆ ครั้งก่อนจึงเอามาปรุงอาหารได้ นิยมนำมาทำแกงกะทิ หรือทำเป็นผักจิ้มจะช่วยระบายท้องได้ดีทั้งดอกตูมและใบอ่อนมีสารอาหารหลายอย่างคือ วิตามิน เอ และวิตามินซี ค่อนข้างสูงในดอกมีมากกว่าใบ
เอาใบขี้เหล็กมาบ่มรวมกับผลไม้จะช่วยทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น

การใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพร
- ดอก รักษาโรคเส้นประสาท นอนไม่หลับ ทำให้หลับสบาย รักษาโรคหืด รักษาโรคโลหิตพิการ ผายธาตุ รักษารังแค ขับพยาธิ
- ราก รักษาไข้ รักษาโรคเหน็บชา ทาแก้เส้นอัมพฤกษ์ให้หย่อน แก้ฟกช้ำ แก้ไข้บำรุงธาตุ ไข้ผิดสำแดง
- ลำต้นและกิ่ง เป็นยาระบาย รักษาโรคผิวหนัง แก้โรคกระษัย แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว
- ทั้งต้น แก้กระษัย ดับพิษไข้ แก้พิษเสมหะ รักษาโรคหนองใน รักษาอาการตัวเหลือง เป็นยาระบาย บำรุงน้ำดี ทำให้เส้นเอ็นหย่อน
- เปลือกต้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร โรคหิด แก้กระษัยใช้เป็นยาระบาย
- กระพี้ รสขมเฝื่อน แก้ร้อนกระสับกระส่าย บำรุงโลหิต คุมกำเนิด
- ใบ รักษาโรคบิด รักษาโรคเบาหวาน แก้ร้อนใน รักษาฝีมะม่วง รักษาโรคเหน็บชา ลดความดันโลหิตสูง ขับพยาธิ เป็นยาระบาย รักษาอาการ นอนไม่หลับ
- ฝัก แก้พิษไข้เพื่อน้ำดี พิษไข้เพื่อเสมหะ แก้ลมขึ้นเบื้องสูง เบื้องบน โลหิตขึ้นเบื้องบน ทำให้ระส่ำระสายในท้อง
- เปลือกฝัก แก้เส้นเอ็นพิการ
- ใบแก่ ใช้ทำปุ๋ยหมัก

ข้อควรระวัง

1. สมุนไพรพวกนี้ ให้ใช้ในขณะที่มีอาการท้องผูก ห้ามใช้ประจำ เพื่อจุดประสงค์ต้องการให้มีรูปร่างระหง และควรรับประทานยาสมุนไพรก่อนนอน
2. ขนาดที่ใช้อาจเพิ่มหรือลดลงได้เล็กน้อยขึ้นอยู่กับ "อายุ" เด็ก หรือผู้ที่ธาตุเบา ควรใช้ขนาดลดลง ถ้าผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว หรือ ธาตุหนัก ควรเพิ่มสมุนไพรเล็กน้อย

3. ห้ามใช้ในบุคคลที่กำลังตั้งครรภ์แก่

4. ระวังสำหรับผู้ที่ป่วยเกี่ยวกับตับซึ่งอาจมีผลต่อตับ และมีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้

ขอบคุณข้อมูลจาก
คลังปัญญาไทย
วิกิพีเดีย



มะตูม แก้กระหายน้ำ


ใบมะตูมมีรสฝาด ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร แก้โรคลำไส้ ท้องเดิน ผลอ่อนช่วยให้เจริญอาหาร ส่วนผลสุกมีรสหวาน แก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด แก้กระหายน้ำ

ผลดิบของมะตูม ฝานทำให้แห้ง คั่ว ใช้ชงน้ำดื่มแก้อาการท้องเสีย แก้บิด ผลสุกเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยย่อย ใบมะตูมสดใช้คั้นน้ำกิน ลดอาการหลอดลมอักเสบ เปลือกและต้นรักษาไข้มาเลเรียผลสุกเป็นผลไม้และใช้ทำน้ำปานะ ยางจากผลดิบผสมสีทากระดาษแทนกาวได้

ยอดอ่อนและใบอ่อนของมะตูม มีรสเผ็ดร้อน อมฝาด กลิ่นหอม เป็นยาบำรุงธาตุทำให้เจริญอาหาร แก้ท้องเดิน ผลมะตูมอ่อน เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ ยอดอ่อน ใบอ่อน ของมะตูมรับประทานเป็นผักสด ร่วมกับ ลาบ ก้อย แจ่วป่น น้ำพริกและแกงรสจัด มะตูมอ่อน ปรุงเป็นยำมะตูม