8 กรกฎาคม 2552

ใบยอ เป็นยาแก้ไข้

ใครที่เป็นไข้ลองกินใบยอดูสิ เพราะใบยออ่อนมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ บำรุงธาตุ ลดอุณหภูมิของร่างกาย แก้ท้องร่วง เหงือกบวม ปวดข้อ รู้ไหมใบยอ 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 841 มิลลิกรัม
สรรพคุณ

ใบยอมีสรรพคุณ บำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกปวดบวมผล รสเผ็ดร้อน

ผลยอ มีสรรพคุณ ขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับโลหิต ระดูของสตรี ฟอกเลือด แก้คลื่นเหียนอาเจียน

ผลสุกของยอบ้านมีกลิ่นฉุนวิธีใช้ยากำจัดเหา โดยนำใบยอสดมาหั่นโขลกให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ นำมาสระผม 2-3 ครั้ง เหาจะหมดไป

ยากำจัดพยาธิ นำใบยอมาหั่นตากแดด บดเป็นผงแล้วละลายน้ำร้อนครั้งละ 2-3 ช้อนชา ดื่มเป็นประจำ ช่วยทำลายพยาธิได้ยาระบาย

นำลูกยออ่อนมาฝานเป็นแว่น ๆ คั่วด้วยไฟอ่อน ๆ จนเหลือง กรอบ นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนน้ำ เป็นยาแก้คลื่นไส้อาเจียน และระบายได้เป็นอย่างดี

ยาแก้ท้องอืด นำลูกยอมาโขลกกับเกลือแล้วผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าหัวแม่มือ กินมือละ 1-2 ลูกช่วยขับลมและลดอาการท้องอืดได้

หลายคนอาจจะยังไม่เคยกินใบยอและลูกยอ เมื่อทราบถึงประโยชน์ทั้งด้านคุณค่าทางอาหารและการใช้เป็นยาเช่นนี้ ก็น่าจะลองหามากิน หรือนำต้นยอมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านเพราะปลูกง่าย เพียง 1-2 ปีจะได้ต้นยอซึ่งให้ทั้งใบและผล สำหรับบริโภคและเป็นไม้ประดับให้ร่มเงาแก่บ้านอีกด้วย

ประโยชน์ทางอาหาร ส่วนที่เป็นผัก/ฤดูกาล ใบอ่อนและห่ามของยอใช้เป็นผักได้

ใบอ่อนออกทุกฤดูกาล

ผลยอออกในช่วงฤดูหนาว

การปรุงอาหารคนไทยทุกภาครับประทานใบยอเป็นผัก ใบอ่อนลวกหรือต้มให้สุก รับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก

นอกจากนี้ใบอ่อนยังนิยมปรุงเป็นแกง เผ็ด แกงอ่อมร่วมกับหมู ปลาไก่ ใช้เป็นผักรองก้นกระทง ห่อหมกปลา ห่อหมกหมู ห่อหมกไก่ได้

สำหรับผลห่ามหรือผลแก่จัดสีเขียวชาวอีสานนำมาปรุงเป็นส้มตำ โดยใส่ผลยอแทนมะละกอ

ประโยชน์ต่อสุขภาพใบอ่อน รสขม รับประทานเป็นยาเพื่อลดความร้อนในร่างกายได้ส่วนผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ใบยอ 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 73 กิโลแคลอรี่มีเส้นใย 4 กรัม แคลเซียม 469 มิลลิกรัม เหล็ก 1.4 มิลลิกรัมวิตามินเอ 43333 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.30 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.19 มิลลิกรัม ไนอาซิน 7.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 3 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก www.prc.ac.th/lannagardrn/pum10.html

ถั่วลิสง บำรุงเลือด

เราใช้เปลือกบาง ๆ ที่หุ้มเมล็ดถั่วในการบำรุงเลือด รักษาโรคโลหิตจาง เพราะมันจะช่วยเพิ่มเกร็ดเลือดและเสริมคุณภาพของเกร็ดเลือด แก้ไขความบกพร่องในการแข็งตัวของเลือด ส่วนเมล็ดช่วยให้ปอดชุ่มชื้นและละลายเสมหะ

ถั่วลิสง ลดเสี่ยงโรคหัวใจคนไข้เบาหวาน 44%
วิทยาลัย แพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างคนไข้เบาหวานผู้หญิงมากกว่า 6,000 คนซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงโรคหัวใจ สโตรค (stroke = หลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต)

ผลการศึกษาพบว่า การกินถั่วลิสงเป็นอาหารว่าง (snack) หรือเนย (butter) 5 ครั้ง/สัปดาห์ขึ้นไปช่วยลดความเสี่ยง (ความน่าจะเป็น) โรคหัวใจกำเริบ (heart attack) ลงได้มากจนถึง 44%

กลไกที่เป็นไปได้คือ ถั่วลิสง (peanuts) ช่วยลดโคเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดชนิดเลว (LDL), ลดการอักเสบ, และทำให้สุขภาพหลอดเลือดหัวใจดีขึ้น

ขนาดที่ช่วยปกป้องหัวใจ คือ 5 ส่วนบริโภค (servings) ต่อสัปดาห์ = ถั่วลิสงต้ม 1 ฝ่ามือ ไม่รวมนิ้วมือผู้ใหญ่ผู้หญิง (เรียงเม็ดกัน ไม่พูนหรือซ้อนกัน) = เนยถั่วลิสง 1 ช้อนโต๊ะ
สหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งมีประชากรใกล้เคียงกับไทยมีคนไข้เบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานที่พบในผู้ใหญ่ และเด็กอ้วน 2.25 ล้านคน

โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายใหญ่ของคนไข้เบาหวาน การกินถั่วลิสงให้ดีควรลดปริมาณอาหารอื่นลงไปตามส่วน โดยเฉพาะถ้าลดอาหารทอด + ออกแรง-ออกกำลังเพิ่มด้วย จะได้ผลดีมาก

ถั่งลิสงที่ดีกับสุขภาพควรเป็นถั่วต้ม ไม่เติมเกลือหรือน้ำตาล และไม่ผ่านการทอด เนื่องจากการทอดจะทำให้น้ำมันชนิดดีในถั่วซึมออก น้ำมันที่ใช้ทอดซึมเข้า

อ้างอิง www.girliza.com

ลิ้นจี่

ลิ้นจี่ รู้ไหม ลิ้นจี่ที่แสนอร่อยที่เรากินน่ะ ช่วยบำบัดอาการท้องร่วงและโลหิตจาง บำรุงตับ บำรุงเลือด รักษาอาการปวดไส้เลื่อน ปวดกระเพาะได้ด้วยนะ

คุณค่าอาหารและสรรพคุณ
เนื้อของลิ้นจี่มีวิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ อย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงสุขภาพแก้อาการท้องเดิน

ลิ้นจี่"

มีต้นกําเนิดที่ประเทศจีน ลักษณะค่อนข้างกลม เปลือกสีแดงเข้ม ผิวขรุขระไม่เรียบ เนื้อสีขาวฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว นิยมรับประทานผลสด ทําผลไม้กระป๋อง ดอง มีน้ำตาลสูง หากเราผ่านไปทางภาคตะวันออก จะเห็นว่าทางภาคนี้จะปลูกผลไม้แทบทุกชนิด เพราะอากาศดี ดินอุดมสมบูรณ์

"ลิ้นจี่" เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามิน และน้ำตาล มีน้ำมันหอมระเหย และมีกรดอินทรีย์บางชนิด วิตามินบี 1 ในลิ้นจี่ ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด แคลเซียมเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงอีกทั้งยังมีไนอะซีนช่วยเปลี่ยนน้ำตาลและไขมันให้เป็นพลังงาน ช่วยในระบบย่อยอาหาร ส่วนที่เป็นเมล็ดยังสามารถทําเป็นยาระบายความเจ็บปวดในกระเพาะอาหารได้ด้วยสํา หรับรับผู้มีอาการของท้องร่วงเรื้อรัง ให้นําเนื้อลิ้นจี่มาต้มรวมกับเนื้อพุทรา แล้วนํามากินกับน้ำ จะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงเรื้อรังได้ได้เป็นอย่างดี

อ้างอิง www.variety.siamha.com

มะพร้าว


มะพร้าว มีส่วนประกอบของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซีและน้ำตาล มีสรรพคุณช่วยขับลมและถ่ายพยาธิ ระวังอย่ากินมากเกินไปเพราะจะทำให้หงุดหงิดโมโหได้นะ

" น้ำมะพร้าว" ถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูงต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบนน้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียมเหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส

น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอกเพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดีแถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูงทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

น้ำมะพร้าว"สปอร์ตดริ๊งค์" จากธรรมชาติ
เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายนอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่ายนอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปหมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็นใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลางไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกันสามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้..

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaiherbclinic.com

เกาลัด

เกาลัด มีสรรพคุณบำรุงไต แก้ปวดเมื่อยบริเวณส่วนเอว ขาอ่อนปวกเปียกไม่มีแรง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารและลำไส้ แต่ผู้ที่มีอาการร้อนใน หรือเป็นโรคไขข้ออักเสบห้ามรับประทานเด็ดขาด เพราะจะทำให้หน้าตาบวม

"เกาลัด" หรือเชสนัท (Chestnut) นั้นเป็นพืชประเภทถั่วที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก ให้ไขมันต่ำ และอุดมด้วยวิตามินบี มีแร่ธาตุโพแทสเซียม และกรดโฟลิก อีกทั้งสรรพคุณของลูกเกาลัดนั้นก็คือสามารถช่วยบำรุงอวัยวะในร่างกาย ได้แก่ บำรุงไต เสริมสร้างกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร ช่วยฟอกเลือด ช่วยบรรเทาอาการช้ำใน และช่วยเพิ่มพลัง ทำให้กล้ามเนื้อมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น รวมทั้งช่วยลดการปวดปัสสาวะบ่อยๆ จึงถือว่าเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ

ส่วนในตำราจีนนั้น มีการพูดถึงคุณค่าของเกาลัดมาเป็นพันๆปีแล้วว่า เป็นอาหารธาตุอุ่น ช่วยบำรุงไต บำรุงเลือด และช่วยลดอาการปวดข้อได้ด้วย จึงถือเป็นของกินเล่นที่มีคุณค่ามากอีกอย่างหนึ่ง แม้ในเมืองไทยจะมีราคาสูงไปสักหน่อยก็ตาม

เกาลัดคั่วในเม็ดทราย

เกาลัดคั่วที่เห็นกันมาก ๆ มักจะมีเม็ดสีดำเล็ก ๆ คั่วรวมอยู่ด้วย บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเมล็ดกาแฟจริง ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

เม็ดสีดำเล็ก ๆ นั้น คือ เม็ดทรายขนาดประมาณ 3-5 มิลลิเมตร เป็นทรายที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือที่เห็นตามตู้ปลาสีออกน้ำตาล พ่อค้าหรือแม่ค้าจะนำเอาทรายแห้งใส่ลงไปในกระบะใบใหญ่ พอทรายร้อนระอุได้ที่จนเป็นสีดำ ก็จะนำเอาลูกเกาลัดใส่ลงไป บางร้านเติมน้ำตาลทรายคั่วรวมกันให้ได้รสหวาน บางร้านเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่เมล็ดกาแฟคั่วรวมไปเหตุผลที่ต้องใช้เม็ดทรายเพราะเม็ดทรายช่วยเก็บความร้อนไว้ได้นาน ซึ่งดีสำหรับการทำให้เกาลัดสุกถึงเนื้อผลด้านใน และหากสังเกตกันดี ๆ เนื้อผลของเกาลัดนั้นจะไม่ติดกับเปลือก

ดังนั้นการใช้ทรายที่ร้อนระอุตลอดเวลาจะช่วยให้เนื้อเกาลัด ค่อย ๆ สุก แต่ต้องหมั่นคนเพื่อไม่ให้เกาลัดไหม้ ซึ่งจะคั่วกันนาน 30-40 นาที เม็ดทรายนั้นใช้ได้นานกว่า 1 เดือน เรียกว่าคั่วเกาลัดได้หลายกระทะ จนทรายที่เป็นเม็ดเริ่มป่นเป็นผง แล้วจึงจะเปลี่ยนไปใช้เม็ดทรายชุดใหม่ต่อไปนี้ก็เข้าใจใหม่ว่า เกาลัดนั้นคั่วในทราย ไม่ใช่เมล็ดกาแฟอย่างที่เข้าใจกัน.

อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/2764.html

ข้าวเหนียวดำและขาว

เปิบข้าวเหนียวดำแล้วแก่ช้า

คนภาคเหนือและภาคอีสาน เรียก ข้าวเหนียวดำ ว่า ข้าวก่ำ นอกจากจะใช้ประโยชน์โดยบริโภคเป็นอาหาร (ข้าวนึ่ง) และขนม (ข้าวหลาม ขนมเทียน ข้าวแต๋น) แล้ว
ยังใช้เป็นยารักษาโรคตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งอาการตกเลือดหลังคลอด โรคท้องร่วง และโรคผิวหนัง
นัก วิจัยเชียงใหม่ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยศึกษาลึกระดับโมเลกุลเมล็ดข้าวเหนียวดำ ดึงคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกันและการเจริญเติบโตของร่างกาย สำหรับผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ ยาและเวชภัณฑ์

รศ. พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ นักวิจัยหน่วยวิจัยข้าวก่ำ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า เมล็ดข้าวก่ำ หรือข้าวเหนียวดำ มีสารสำคัญชื่อ แกรมมา-โอไรซานอล และแอนโธไซยานิน มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับวิตามินอี แต่คุณสมบัติดีกว่า เนื่องจากโครงสร้างของสารสำคัญมีขาจับมากกว่าในวิตามิน อี ทำให้การยึดเกาะพื้นผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สารสกัด ในข้าวก่ำยังมีคุณสมบัติ ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง สร้าง วิลไล ในผนังลำไส้เล็กซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาเพื่อดูดซึมสารอาหาร ทำให้ร่างกายสามารถดูดซับสารอาหารได้มากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตและแข็งแรงยิ่งขึ้น ปัจจุบันหน่วยวิจัยฯ เตรียมศึกษาคุณสมบัติของสารสกัดในระดับโมเลกุล ซึ่งส่งผลต่อร่างกายในเชิงลึก

อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้จากการวิจัยในระดับโภชนาการที่ผ่านมา สามารถต่อยอดผลิตเป็นอาหารเสริม ยาและเวชภัณฑ์ โดยที่ผ่านมาได้รับการติดต่อจากคณะแพทยศาสตร์ ที่สนใจนำผลงานวิจัยไปใช้ทางการแพทย์ ขณะที่คณะเภสัชศาสตร์ก็เตรียมนำสารสกัดจากเมล็ดข้าวก่ำ ไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางประเภทต้านริ้วรอย-ชะลอแก่



ข้าวเหนียว มีรสหวาน ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ม้าม แก้อาการท้องร่วงจากบิด เบื่ออาหาร คลื่นเหียนอาเจียน ลดปัสสาวะ ลดเหงื่อ เห็นไหมข้าวเหนียวก็มีประโยชน์ไม่แพ้ใครนะ

นอกจากข้าวเหนียวจะมีประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เช่น

บำรุงร่างกาย
ช่วยขับลมในร่างกาย
สร้างสารอาหาร
เสริมสมรรถภาพกระเพาะอาหาร
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น

โดยการนำ ข้าวสาร (ข้าวเหนียว) แช่ให้นุ่มแล้วโดยปั่นในเครื่องปั่น ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 นำมาพอกกับผิวหน้า ผิวกาย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นช่วยลดริ้วรอย จุดด่างดำ ให้ค่อยๆ จางหายไป ทำ สัปดาห์ละ 2 ครั้งไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็มีประโยชน์กับร่างกายเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักถึงคุณค่าและรู้จักที่จะนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อไป

ดื่มชาวันละ 2 แก้ว ลดความเสี่ยงมะเร็งรังไข่

หลังจากสัมภาษณ์ผู้หญิงกว่า 6 หมื่นคน

ทีมนักวิจัยจากสวีเดนพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มชาอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ลงได้ นักวิจัยของสถาบันคาโรลินสกา ได้สัมภาษณ์ ผู้หญิง 61,057 คน อายุระหว่าง 40-76 ปี เกี่ยวกับนิสัยการกินและดื่ม ในช่วงปี 2530-2533 หลังจากนั้นติดตามสัมภาษณ์ซ้ำอีกครั้งจนถึงเดือนธันวาคม 2547 พบว่า มี 301 คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ จากการศึกษานี้เห็นว่าผู้หญิงที่ดื่มชาวันละ 2 แก้วหรือมากกว่านั้นเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มชา กลุ่มนี้จะลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ 46 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มที่ดื่มชาวันละแก้ว ลดปัจจัยเสี่ยงลงได้ 24 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ดื่มนั้นปัจจัยเสี่ยงลดลง 18 เปอร์เซ็นต์

ซูซานนา ลาร์สสัน หัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวว่า ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มกาแฟกับปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่

แม้ก่อนหน้านี้จะมีการศึกษาหลายชิ้นที่แสดงว่าชามีส่วนช่วยป้องกันมะเร็ง ได้หลายชนิด และมีส่วนช่วยกระตุ้นความจำ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตรวจสอบ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มชากับความเสี่ยง ในการเป็นมะเร็งรังไข่โดยตรง.

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2548

อาหารบำรุงสมอง

พ่อ แม่ทุกคนอยากให้ลูกได้เติบโตอย่างสมบูรณ์

ร่วมกับการมีสมองที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จนบ่อยครั้งที่ยอมจ่ายเงินครั้งละมากๆ เพื่ออาหารเสริมที่มักจะอวดสรรพคุณว่าช่วยบำรุงสมอง หรือบางครั้งพาลูกเข้าร่วมกิจกรรมที่โฆษณาว่าจะช่วยพัฒนาสมอง บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนช่วยบำรุงสมองเลยสักนิด ก็มักจับกระแสนี้ โดยโหมโฆษณาที่เน้นถึงการพัฒนาของสมองและก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อตาม แรงโฆษณาเหล่านี้ จึงรู้สึกเสียดายเงินแทนผู้ปกครองที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้

จะขอเริ่มจากไขมันจากปลาทะเลโดยเฉพาะกรดไขมัน DHA เพราะมีการศึกษาออกมามากมายว่า มีส่วนทำให้ทารกในวัย 1 ขวบปีแรกมีพัฒนาการเร็วขึ้น เมื่อได้รับ DHA อย่างเพียงพอ จากการศึกษาปริมาณ DHA ในนมแม่ของหญิงไทย ทั่วประเทศที่ผมและคณะทำการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า ในนมแม่ของหญิงไทยทุกภาคมีปริมาณ DHA ที่สูงและมีมากกว่าน้ำนมแม่ของคนแถบยุโรปและอเมริกาเสียอีก โดยหญิงไทยเหล่านี้ไม่ได้กินอาหารทะเลมากเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องเป็นห่วงมากเกินไปว่าต้องกินปลาทะเลหรือไขมันจากปลาทะเลเสริมในช่วงให้นมแม่ อาจเป็นเพราะหญิงไทยสามารถสร้างไขมัน DHA จากน้ำมันพืชที่กินเข้าไปก็ได้

สำหรับนมผงสำหรับทารก ที่ระยะหลังนี้จะเริ่มแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ชนิดดั้งเดิม และกลุ่มหลังคือ ชนิดที่มีการเติม DHA โดยกลุ่ม หลังนี้มักจะแพงกว่ากลุ่มแรกกระป๋องละ 30-40 บาท (ในขนาดกระป๋องละ 400 กรัม) ผู้ปกครองที่มีฐานะปานกลางขึ้นไปก็มักจะไม่เสียดายเงินที่ต้องจ่ายมากขึ้น จึงมักซื้อชนิดที่แพงกว่าเพราะคิดว่าสมองของลูกจะมีการพัฒนาที่ดีกว่า แต่จากการศึกษาจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องมี DHA ในนมผง สำหรับทารกในกลุ่มที่กินนมที่มี DHA อาจจะมีการพัฒนาเร็วกว่าอีกกลุ่มเล็กน้อย แต่กลุ่มที่ไม่มีได้กิน DHA ก็จะมีพัฒนาการที่ไล่ทันเมื่ออายุ 1-2 ขวบ ทั้งนี้เป็นเพราะทารกก็สามารถสร้าง DHA ขึ้นมาได้เองภายในร่างกาย จากข้อมูลขณะนี้จึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะบังคับให้ทุกบริษัทต้องเติม DHA ลงไปในนมผงสำหรับทารก

การที่ลูกได้รับนมแม่หรือได้รับนมผงร่วมกับการให้อาหารเสริมที่มีความหลากหลาย ตามเวลา และมีความเพียงพอใน 1 ขวบปี ก็จะทำให้สมองของลูกได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และเมื่อร่วมกับการอยู่ใกล้ชิด เล่นกับลูกก็จะช่วยพัฒนาเครือข่ายเส้นใยประสาทภายในสมองของลูกได้อย่างเต็ม ที่ การเล่นกับลูกเมื่อลูกตื่นตามแต่ละอายุของลูกนั้น ขอเรียกพ่อและแม่นั้นว่าเป็น “Biotoys” พูดง่ายๆ ก็คือ พ่อหรือแม่คือ “ของเล่นที่มีชีวิตที่ดีที่สุดของลูก” มีคนจำนวนมากซื้อของเล่นต่างๆ มาให้ลูก โดยของเล่นแต่ละชิ้นมักจะระบุว่าเหมาะกับลูกอายุเท่าไหร่ แต่จากประสบการณ์ของผมแล้ว ผมอยากให้ Biotoys นี้เป็นของเล่นหลักของลูกมากกว่า 80% ของเวลาที่ลูกตื่นขึ้นมา

ในวัยอายุ 2-3 ปี เป็นช่วงที่สมองของลูกมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ มีเส้นใยประสาทเชื่อมต่อกันมากมาย วัยนี้เป็นวัยที่เหมาะที่จะส่งเสริมกิจกรรมทุกๆ ด้าน กิจกรรมทุกๆ ด้านนี้อาจหมายถึง กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือการเต้นก็ได้ แต่เราก็ไม่สามารถฝืนพื้นฐานของสมองของเขาได้ พื้นฐานสมองของลูกแต่ละคนนี้มีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด เช่น พ่อและแม่เป็นนักดนตรีทั้งคู่ ลูกก็จะมีความสามารถในการเข้าถึงดนตรีเป็นพื้นฐานได้ดีกว่าเด็กอื่น จะมาส่งเสริมให้เขาเป็นนักเทนนิสมืออาชีพก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก หรือพ่อและแม่ที่เคยเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งมาทั้งคู่ ลูกๆ ก็จะมีพื้นฐานทางด้านการคำนวณและความจำที่ดีกว่าเด็กอื่น จะให้มาฝึกเป็นนักกีฬาอาชีพใดอาชีพหนึ่งก็อาจจะประสบผลสำเร็จยากกว่าการเป็น นักวิทยาศาสตร์ หมอ หรือวิศวกร เป็นต้น

ในวัยอนุบาล คือ วัยที่มีอายุระหว่าง 3-6 ปี เป็นวัยที่เส้นใยภายในสมองเริ่มลดน้อยลง โดยการลดลงของเส้นใยสมองนี้เป็นไปตามพันธุกรรม เส้นประสาทของครอบครัว ดนตรี ลูกก็จะยังคงมีเส้นใยประสาททางด้านดนตรีอยู่มากมาย ขณะที่เส้นใยประสาทของครอบครัวที่เรียนเก่งก็จะมีการเชื่อมโยงสมองทั้งทาง ด้านความจำและด้านคำนวณคงอยู่จำนวนมาก แต่การฝึกใช้บ่อยๆ ของเส้นใยประสาทแต่ละด้านในวัยนี้ ก็จะช่วยให้มีการคงอยู่มากขึ้นกว่าการไม่ส่งเสริมอะไรเลย เช่น การจะฝึกเล่นกีฬาใดกีฬาหนึ่ง ก็ควรเริ่มฝึกในวัยนี้ ทั้งนี้กีฬาแต่ละชนิดต้องการการคงอยู่ของเส้นประสาทไม่เหมือนกัน เมื่อเริ่มฝึกตั้งแต่วัยนี้ ก็จะมีการคงอยู่ของเส้นประสาทที่จำเป็นต้องใช้ในกีฬาชนิดนั้นอย่างครบถ้วน

คำถามที่ถามบ่อยว่า มีอาหารอะไรหรือไม่ที่จะช่วยบำรุงสมองในช่วงเป็นนักเรียนและนักศึกษา มีการโฆษณาสินค้ามากมายหลายชนิดที่พยายามสื่อว่า ถ้ากินเข้าไปแล้วจะช่วยบำรุงสมอง แต่จากการศึกษายังไม่มีอาหารเสริมชนิดใดเลยที่ช่วยบำรุงสมอง การให้การดูแลที่ถูกต้องแก่ลูกก็จะช่วยบำรุงสมองของลูกได้

ขั้นแรกคือ การได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เด็กนักเรียนชั้นประถมในช่วงกลางคืนควรนอนอย่างต่ำคืนละ 10 ชั่วโมง และเมื่อให้ตื่นขึ้น ควรกินข้าวเป็นมื้อเช้า จึงควรให้ความสำคัญแก่ข้าวมื้อเช้ามากๆ ควรฝึกให้ลูกกินข้าวสวยร่วมกับกับข้าวสัก 1-2 อย่างและตามด้วยนมอีก 1 แก้ว ลูกก็จะได้สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และเพียงพอต่อการเรียนหนังสือจนถึงเที่ยงวัน แล้วจึงต่อด้วยอาหารมื้อเที่ยง ลูกก็จะไม่อ่อนล้าเกินไปต่อการเรียน ในช่วงชั้นมัธยมศึกษา ลูกควรนอนอย่างน้อยคืนละ 9 ชั่วโมง และควรกินมื้อเช้าเช่นวัยประถม สมองของลูกก็พร้อมที่จะเรียนหนังสือได้ตลอดวัน

คำถามสำคัญสุดท้ายก็คือ อาหารอะไรที่พอจะบำรุงสมองสำหรับผู้ใหญ่หรือคนวัยทำงาน วัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา จะเริ่มพบผู้ใหญ่หรือคนชราหลายคนที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ และบางคนเป็นมากจนลืมทุกอย่างแม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ที่เราเรียกว่า โรคอัลไซเมอร์ อาหารที่พอจะช่วยป้องกัน หรือบรรเทาโรคนี้ เห็นจะเป็นกลุ่มที่มี วิตามิน เอ ซี อี และธาตุเซเลเนียม โดยวิตามิน เอ และซี นี้มีมากในผักและผลไม้ จึงควรหมั่นกินเป็นประจำทุกมื้อ ส่วนวิตามิน อี นั้นมีมากในน้ำมันพืชและในไขมันจากสัตว์ แต่มีไม่เพียงพอ ผมจึงขอแนะนำให้ทุกคนกินเสริมวันละ 100 มิลลิกรัม ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปเลย และในกรณีที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ ก็ควรเพิ่มการกินวิตามิน อี เป็นวันละ 200-400 มิลลิกรัม ส่วนธาตุเซเลเนียมนั้นมีมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตับ และไต จึงควรหมั่นกินอาหารเหล่านี้ เป็นประจำเช่นกัน และอย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกๆ วัน เพื่อให้เลือดได้รับการสูบฉีดไปเลี้ยงสมองอย่างทั่วถึง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อาจจะพอสรุปได้ว่า การบำรุงสมองนั้นประกอบด้วย การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการกินอาหารที่มีความหลากหลาย คือ มีเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก ผลไม้ และนม ส่วนที่มีการโฆษณาสินค้าต่างๆ มากมายว่าสามารถบำรุงสมองนั้น ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นจริงเลย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551

กินปลาเพิ่มปัญญา

ปลาช่วยพยุงสมองผู้สูงอายุ สติปัญญาหนุ่มสาวขึ้น 3-4 ปี

ชักชวนผู้สูงอายุให้หมั่นกินปลาเป็นอาหาร ถ้ากินสัปดาห์ละ 1 มื้อ จะช่วยให้สติปัญญาดีขึ้น ไม่แพ้หนุ่มสาวที่วัยอ่อนกว่ากัน 3 ปี และหากกินได้มากถึงอาทิตย์ละ 2 มื้อ สติปัญญาจะดีเท่ากับผู้ที่อ่อนกว่าถึง 4 ปี

หัวหน้าคณะผู้ศึกษา ดร.มาร์ธา แคลร์ มอร์ส แห่งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยรัช ที่นครชิคาโก อธิบายว่า อาหารทะเลมีกรดโอเมกา-3 อยู่อย่างอุดม โดยเฉพาะกรดโดโคซาเฮกแซนออิก กรดประเภทนี้อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งจำเป็นกับการเจริญเติบโตของสมองในระยะต้นของชีวิต การศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ยังส่อว่ามันอาจจะมีความสำคัญ กับผู้คนทางอีกปลายหนึ่งของช่วงอายุด้วย ดูเหมือนว่ามันสำคัญกับผู้สูงอายุด้วย หรืออาจจะกับคนทั่วไปในการทำงานของสมอง

ดร.มาร์ธากับคณะได้ศึกษากับผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้น 3,718 คน เป็นเวลานาน 6 ปี ได้พบว่า ผู้สูงอายุที่กินปลาอาทิตย์อย่างน้อย 1 มื้อ จะมีสติปัญญาเสื่อมน้อยลงไป 10% มามีสติปัญญาเท่ากับผู้ที่มีอายุอ่อนกว่า 3 ปี และถ้ากินมากอาทิตย์ละ 2 มื้อ จะเสื่อมช้าลงเป็น 13% เทียบเท่ากับคนที่อายุอ่อนกว่ากัน 4 ปี การศึกษายังส่อด้วยว่า การกินปลาจะช่วยป้องกันสมองจากฤทธิ์ของกรดไขมัน หรืออาหารที่ไขมันชนิดอิ่มตัวอย่างพวกเนื้อสัตว์.

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 19 ธันวาคม 2548

วิตามินดีป้องมะเร็งลำไส้ใหญ่

วิตามินดีป้องมะเร็งลำไส้ใหญ่ สหรัฐให้กินกันทั้งประเทศ

ศูนย์ วิจัยโรคมะเร็งของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประกาศว่า หากกินวิตามินดีเป็นประจำจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งของลำไส้ ใหญ่ลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง

นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์กล่าวว่า ได้รู้จากการศึกษาว่า หากกินวิตามินดีขนาด 25 ไมโครกรัมให้ได้ทุกวัน จะสามารถปัดเป่ามะเร็งลำไส้ใหญ่ ไม่ให้มาแผ้วพานลงได้ถึง 50% ศาสตราจารย์เอ็ดเวิร์ด กอร์แฮม อาจารย์วิชาวิทยาโรคระบาดอธิบายว่า ความจริงเป็นที่รู้กันว่าวิตามินดีป้องกันโรคมะเร็งชนิดนี้ได้มานานตั้งหลาย สิบปีดีดักแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้ควรจะกินมากน้อยเท่าใดเท่านั้น “แต่การศึกษาหนนี้ ถึงได้รู้ระดับเป้าหมายของวิตามินดีว่า ควรจะกินมากน้อยสักเท่าใด”

ปีหนึ่งๆ มีคนอเมริกันถูกพบว่าเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ ประมาณ 145,000 รายทุกปี และได้มีการคำนวณหาว่า หากชาวอเมริกันพากันกินวิตามินดี จะเสียเงินรวมปีละ 20,000,000,000 บาท แต่จะป้องกันไม่ให้เสียชีวิตได้ อาจมากถึงปีละ 28,000 คน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลลงได้ถึงปีละ 80,000,000,000 บาท.
จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 23 ธันวาคม 2548